ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศอินเดีย ๒๓ - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ [ตอนที่ ๒]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ใน [ตอนที่ ๑] แทบพระบาท พระศาสดา
ข้าพเจ้าได้นำเสนอภาพกิจกรรมและความธรรมะ ณ พุทธคยา ซึ่งเป็นวันแรกของทุกๆ ท่าน ที่ได้สัมผัส และ ก้มกราบลง แทบรอยพระบาท พระศาสดา ณ บริเวณพระมหาเจดีย์ ที่ซึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ ๒๖๐๐ ปี มาแล้ว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือนวิสาขะ เวลาเช้า ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแค้นมคธ แห่งนี้
พระมหาโพธิสัตว์ทรงพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการสิ้นสุดแห่งบำเพ็ญพระบารมียาวนาน ถึงสี่อสงไขย แสนกัปป์ เพื่อที่จะทรงตรัสรู้ความจริง ด้วยพระมหากรุณา ที่จะให้สรรพสัตว์ ได้รู้ตาม เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ ไม่กลับมาสู่การเกิดอีกเลย เป็นขณะที่ประเสริฐยิ่งขณะหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ของทุกบุคคล ในวันนั้น ที่ได้มีโอกาส ก้มลงกราบ แทบรอยพระบาท พระศาสดา ณ สถานที่ซึ่ง ไม่มีในโลกไหนๆ ในสวรรค์ หรือแม้ ในพรหมโลก
สำหรับในตอนนี้ เป็น [ตอนที่ ๒] ซึ่งมีชื่อตอนว่า หลากศรัทธา ในตถาคต เป็นการนำเสนอภาพกิจกรรมของคณะของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในวันที่ ๒๔ และ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นสองวันสุดท้าย สำหรับการเดินทางมายัง พุทธคยา ของคณะฯ ในครั้งนี้ ซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเสนอภาพ ความศรัทธาของบุคคลต่างๆ ที่มีต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น และ ต่อเมื่อได้ศึกษาและมีความเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดง บุคคลย่อมซาบซึ้งถึง พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ และ พระบริสุทธิคุณ ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดยิ่งแล้ว ในชาตินี้ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามที่ทรงแสดงไว้ แน่นอนว่า ข้าพเจ้าย่อมไม่ลืม ที่จะนำความธรรมะ จากการสนทนาธรรม ณ โรงแรมอิมพีเรียล พุทธคยา ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ มาฝากทุกท่าน ซึ่งท่านอาจารย์ ได้แสดง เรื่อง ชีวิตประจำวัน ไว้อย่างไพเราะน่าพิจารณายิ่ง ครับ
ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันก็คือ เดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ และ ทุกๆ ขณะ จริงๆ แล้ว ก็เป็นชีวิตปรกติ ธรรมดาที่สุดเลย แต่ว่า ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ว่าสิ่งที่มี เพียงเกิดขึ้น แล้วก็หมดไป แต่เพราะความไม่รู้ ก็ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ "เป็นเรา"
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมต้องไม่ลืม พระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีเป็นปรกติ ที่คนอื่น ไม่สามารถจะรู้ได้เลย คือ เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น การฟัง ไม่ได้หมายความว่า ให้เราหวัง ว่าเราจะเปลี่ยนแปลง หรือว่า ให้เราได้รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม หมดกิเลสโดยเร็ว แต่ว่า ตามความเป็นจริง ก็คือว่า ขณะนี้ ที่สำคัญที่สุด ก็คือ "จิต" ถ้าไม่มีจิต อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การพูด การคิด การทำ ทุกขณะ เป็นไปเพราะ "จิต" ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย
แต่ทุกคนก็ข้าม ลืมจิต คิดว่าเรื่องอื่น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู รวมกันแล้ว ก็เป็นเรื่องราว เป็นเหตุการณ์ต่างๆ ดูสำคัญ แต่ ... ลืม "จิต" ว่า จิตขณะนี้ เป็นอะไร?
เป็นโลภะ ความติดข้อง หรือว่า เป็นโทสะ หรือว่า เป็นความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เพราะไม่รู้ความจริงของจิต จึงควรที่จะรู้ว่า สุขทุกข์ ทั้งหมด ตั้งแต่เกิดในชาตินี้ ในชาติก่อนๆ และ ต่อๆ ไป ก็อยู่ที่ "จิต"นั่นเอง
แล้วใครทำให้จิตเป็นทุกข์ ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์เลย แต่ว่าก็เป็นทุกข์กันทั้งนั้น คนละนิด คนละหน่อย มากบ้าง น้อยบ้าง ก็เป็นเพราะเหตุว่า ไม่รู้จักจิต และ เข้าใจผิดด้วย ว่า "จิตเป็นของเรา"
เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด มีมานานแสนนาน ต่อเมื่อไหร่ ได้เริ่มฟังพระธรรม ก็จะเริ่มมีความเห็นที่ถูกต้อง เพียงความเห็นที่ถูกต้อง
เพื่ออะไร?
เพื่อ รู้ความจริง ตามที่เกิดมาเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละคน เกิดมาแล้วเป็นอย่างนี้แล้ว จะเป็นอย่างอื่น ได้ไหม? เมื่อวานนี้ก็เป็นแล้ว วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปก็จะเป็น อย่างที่ต้องเป็น ตามการสะสม
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็คือว่า ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทีละเล็ก ทีละน้อย ในสิ่งที่มี แล้วก็ไม่เคยเข้าใจถูกต้องเลย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม โดยเฉพาะก็คือว่า ณ สถานที่นี้ ซึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงพระธรรม แล้วก็มีผู้ที่เข้าใจ "คำ" ที่พระองค์ตรัส ในภาษาที่เขาสามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ก็กล่าวถึง สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใคร กำลังฟัง ในภาษาไหน ก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่า กำลังพูดถึง สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้
เมื่อวานนี้ ผ่านไปหมดแล้ว และเราก็พูดถึงเรื่อง ความคลาดเคลื่อนต่างๆ
การที่หวังไว้ว่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่คิด แล้วก็หมดไปแล้วด้วย
แม้ฟังอย่างนี้ ก็ไม่ทราบว่า แต่ละคน คิดอย่างไร?
ใครรู้ความคิดของคนอื่นบ้าง?
ฟังแล้ว สนทนากันต่อหรือเปล่า? ต่างคนต่างคิดต่อไปอีก หรือว่า ก็ลืมไปแล้ว
เพราะว่า จริงๆ แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ ผ่านไปแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีใครที่สามารถ ที่จะตามไปแก้ไขได้
แต่สิ่งที่จะเกิดต่อไป ต้องมาจากการที่ ขณะนี้
เป็นกุศล หรือว่า อกุศล
ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้เลย นอกจากเข้าใจความจริงว่า
เป็นสิ่งที่เกิด ตามเหตุ ตามปัจจัย ของแต่ละคน
เพราะฉะนั้น เราก็เกิดมาแล้ว เคยฟังธรรมะมาแล้ว นานพอควร
ไม่ต้องคิดเฉพาะในชาตินี้
ถ้าในชาติก่อนๆ ไม่เคยฟังมาก่อนเลย จะไม่มีความสนใจ ที่จะฟังต่อไป
เพราะเหตุว่า ดูเหมือนว่า จะมีประโยชน์อะไร?
ต่อการที่จะเกิดมา สั้นๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป
ก็สนุก สบายเสีย ไม่ดีกว่าหรือ?
แต่ว่า ความจริงให้ทราบว่า ที่เราคิดว่า สนุก สบายเนี่ย นานแค่ไหน?
ชั่วขณะจิต ที่เกิดขึ้น แล้วก็หมดไป
แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย สักอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
จะรัก จะชัง จะโกรธ จะพยาบาท จะคิดว่า อะไรๆ ก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญ
ลืม ... ว่า ...
ที่สำคัญกว่านั้น ...
คือ "จิต" ของตัวเอง
เมื่อไหร่ที่ได้เข้าใจจิตของตัวเองถ่องแท้ ก็จะเห็นว่า ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยให้จิต
ซึ่งเต็มไปด้วยความพยาบาท หรือ ความโกรธ หรือ ความรัก หรืออะไรต่างๆ
ความริษยา ความมานะ สำคัญตน
ให้ออกไปจากจิต ได้เลย ไม่มีใครทำได้เลย
สิ่งที่สะสมมานาน แสนนาน ด้วยความไม่รู้ ด้วยการยึดถือว่าเป็นเรา เหนียวแน่นมาก
ทำให้เข้าใจว่า เป็นคนอื่น แล้วก็โกรธคนอื่น ที่ทำให้เราไม่สบายใจ หรือว่า เป็นทุกข์
แต่ความจริง ไม่ถูกต้อง
"จิต" ไม่มีใครสามารถทำร้ายได้เลย "อยู่ภายใน" ที่สุด
แต่เพราะความไม่รู้ ก็ทำให้เกิดธาตุ ที่เกิดกับจิต
เป็น "ธาตุ" ที่ไม่ดี ไม่งาม ประทุษร้ายด้วย ให้เกิดโทษด้วย
แต่ก็ไม่รู้ตัวเลย
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ณ สถานที่ ที่ได้มีโอกาส กราบนมัสการ
พระคุณของพระรัตนตรัย
พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ
แม้แต่ทุกคำที่เอ่ยถึง ต้องเข้าใจด้วย
"รัตนะ" คือ สิ่งที่ประเสริฐสุด ไม่มีสิ่งอื่นเปรียบได้เลย คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม
เป็นใคร? ที่รู้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ
ได้ตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม แล้วก็ปรินิพพาน
แต่ว่า ตรัสรู้อะไร? แสดงธรรมอะไร?
ไม่รู้ความเป็นรัตนะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งหมายความถึง พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ
ซึ่งถ้าพระองค์ ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี
เราทุกคน ไม่มีโอกาสจะได้ยิน ได้ฟัง แม้คำว่า สิ่งที่มีจริง
เดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง
เพราะว่า สิ่งที่หมดไปแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาอีก สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็ยังไม่เกิดขึ้น
แล้วก็ไม่มีใครสามารถรู้ด้วย ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกขณะ ตั้งแต่เกิด จนตาย
เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง ก็ควรที่จะเป็น การระลึกถึง
พระพุทธคุณ ซึ่งไม่มีใครเปรียบได้ ที่ทรงแสดงพระธรรม
"ธรรมรัตนะ" คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สอนให้รู้ว่า เราไม่ดี
ดีไหม?
หรืออยากจะได้ยินคำว่า เราดีมาก อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง
ถ้าใครบอกอย่างนั้น เขารู้ความจริงหรือเปล่า?
เพราะว่า ความไม่ดี เริ่มตั้งแต่
การไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้
เป็นเหตุให้เกิด การยึดมั่น ติดข้อง
แล้วก็เป็นเหตุ ให้มีการกระทำ สิ่งต่างๆ ด้วยความยึดมั่น ด้วยความติดข้อง
เพราะความติดข้องสิ่งที่ปรากฏ และยึดถือ ว่าเป็นเรา ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่า
ใครสำคัญกว่าเรา? ลองคิดดู?
ไม่มีเลย
ตัวเอง เป็นที่ตั้ง ของการที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไป
ในทางที่แล้วแต่ว่า จะเข้าใจความจริง หรือว่า ไม่เข้าใจความจริง
อย่างที่ได้ผ่านมาแล้ว ในอดีตกาล นานแสนนาน
ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ชาติก่อนได้เลย เคยเกิดเป็นใคร? ที่ไหน?
แต่ชาตินี้รู้ค่ะ เกิดเป็นอย่างนี้ ใครก็ทำให้เกิด ไม่ได้เลย
นอกจาก ทำเอง
เป็นอย่างนี้ เพราะทำเอง
เกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำเอง ให้เป็นอย่างนี้
ให้เป็นคนนี้ ให้คิดอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว
อย่าผ่านไป
โดยการที่ไม่เคารพ ในพระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงแสดงธรรมะ ให้เรารู้ความจริง
และ ความจริงที่ควรรู้ยิ่ง ก็คือว่า ยังไม่ได้รู้ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
แต่สามารถรู้ได้ เหมือนกับผู้ที่ได้รู้มาแล้ว และ ประโยชน์ของความรู้ยิ่ง ก็คือว่า
สามารถที่จะละ สิ่งที่ไม่ดี ที่สะสมมานานแสนนาน ในจิตของแต่ละคนได้
เพราะฉะนั้น "เริ่มรู้" ว่า
จิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นถูก ต้องเป็นจิตที่ไม่ดี
แล้วมาก แล้วนานด้วย ไม่มีที่บรรจุได้เลย
เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะนับขณะจิตได้ ตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์ มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ฟัง หรือ แม้ความดีที่เกิดขึ้น
ทรงอุปมาว่า
เหมือนหยดน้ำ ทีละหยด
เทียบกับวันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามา เป็นอกุศลมากเท่าไหร่ แล้วก็มีหยดน้ำสักกี่หยด?
แค่หยดน้ำ ...
ตื่นมาแล้วนี่ มีหยดน้ำหรือยัง?
หรือว่า เต็มไปด้วยอกุศล?
แต่ว่า หยดน้ำของคุณความดี แม้เพียงเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล
ทีละหยด ทีละหยด ด้วยความอดทน ขันติบารมี
ด้วยสัจจะ ความจริงใจ ที่มีความมั่นคงว่า
สิ่งที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง รู้ได้แน่นอน
ความจริง ขณะนี้ก็ปรากฏ
เห็น ไม่ใช่ ได้ยิน
"เห็น" ไม่สามารถที่จะ "ได้ยิน" ได้เลย
เพราะเห็น กำลังมีสิ่งที่กำลังเพียงปรากฏให้เห็น
ส่วน "ได้ยิน" ก็ไม่สามารถที่จะ "เห็น" อะไรได้
ในขณะที่ "ได้ยิน" มีแต่ "เสียง" และ "ธาตุ" ที่กำลังได้ยินเสียง
แต่ พร้อมกันไม่ได้เลย เพราะความจริงของจิตก็คือว่า
ธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการเกิดขึ้น และ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
"เดี๋ยวนี้" ค่ะ
นี่คือ "จิต" ที่กำลังเห็น กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ
และ เดี๋ยวนี้ "จิต" ก็กำลังได้ยินเสียง
เพราะ ฉะนั้น จิต เป็นธาตุที่เกิดแล้วดับ ทีละหนึ่งขณะ
ทันทีที่จิตดับลงไป ก็เป็นปัจจัย ที่จะทำให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อทันที
ใครรู้บ้าง?
นี่คือ สัจจะ วาจาจริง
ที่จะนำไปสู่ การรู้ความจริง ที่ประเสริฐยิ่ง
ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ต้องอดทนจริงๆ ในการ "ฟัง"
แล้วก็พิสูจน์ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จริงหรือเปล่า?
สิ่งที่เป็นจริงนี้ มีประโยชน์ไหม?
หรือว่า ยังคงไม่รู้ดีกว่า จะต้องเสียเวลารู้ทำไม?
แต่ว่าความจริง เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
และ ก่อนนั้นก็คือว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึกตลอด
ไม่มีใครยับยั้ง หยุดยั้ง การเกิดขึ้นเป็นไปของจิตได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็ลองย้อนไป ตั้งแต่เกิดมา อกุศลมาก หรือ กุศลมาก?
ถ้าเป็นอกุศลมาก ในอดีต
ก็ถึงเวลาหรือยัง?
ที่จะเป็นกุศลมากๆ เท่าที่จะเป็นไปได้
ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เกิดดับ ไม่ใช่เรา
ก่อนอื่น ที่คิดที่จะละโลภะ โทสะ โมหะ ริษยา หรือว่า มานะ สำคัญตนใดๆ
ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตราบใดที่ "ยังเป็นเรา"
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะต้องรู้ คือ ความจริง ที่ได้สะสมมา
ไม่มีใครยับยั้งความคิดได้
ถ้าจะเปรียบอุปมา ในโลกที่มืดสนิท ยังไม่เห็น เพราะฉะนั้น จะสว่างไม่ได้
ขณะนี้ ก็มีเสียงปรากฏ นิดหนึ่ง ไม่สว่างเลย
เล็กๆ น้อยๆ สั้นมาก แล้วก็ หมดไปแต่ละทาง
เดี๋ยวทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส
แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ปรากฏ ในความมืดนั้น ความคิดถึงสิ่งนั้น เริ่มทันที
แม้ในความมืด หรือว่า ในขณะที่ลืมตาเห็นสิ่งต่างๆ
"ความคิด" ก็เกิดขึ้นทันที ต่อจากที่เห็น
ใครรู้คะ?
ไม่มีทางที่คนธรรมดาสามัญจะคิดเองได้
แต่ว่า มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง
ให้ผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการที่เกิดมาแล้ว ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป
โดยไม่รู้ความจริง หรือว่า เริ่มรู้ความจริง
สะสมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย
ไม่ต้องหวังอะไร ที่จะหมดกิเลสอย่างเร็ว
เป็นไปไม่ได้
เพียงเห็นค่า ของการที่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟังความจริง
ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย
เกิดแล้วไม่แก่ไม่ได้ ไม่เจ็บไม่ได้ ไม่ตาย ก็ไม่ได้
แล้วยังไง?
แล้วก็ลืมชาติก่อนหมด ชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน
พอเกิดใหม่ก็เป็นคนใหม่ ชาติก่อนเป็นใครก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่นี่ เราจะเคยเป็นญาติ พี่น้อง มิตรสหายกันมา
หรือจะเป็นศัตรู หรือจะเคยประทุษร้ายกัน ก็แล้วแต่
ไม่มีใครสามารถที่จะจำได้เลย
แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ผ่านไปแล้ว
การที่แต่ละคน สะสมอะไรมา ก็ปรากฏที่หน้าตา รูปร่าง
ชีวิต ความเป็นอยู่ วงศาคณาญาติ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็น การสะสมของ "จิต"
ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิด ก็เป็นไปตามจิต
ซึ่งเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว
ก็ควรจะเป็นเวลาที่เริ่มรู้ว่า
ไม่มีอะไรดี ในชีวิต
ประเสริฐเท่ากับ การได้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้
ซึ่งยาก ลึกซึ้ง ละเอียด
แต่ว่า สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ
ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่ะ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นปรกติ ธรรมดาทุกอย่าง
เมื่อวานนี้จะเกิดอะไร จะทำอะไร ก็เป็นธรรมดา
ส่องไปถึงการสะสมว่า
ถ้าไม่เคยสะสมมาอย่างนี้ จะคิดอย่างนี้ไหม?
เพราะฉะนั้น ชีวิตก็เป็นปรกติ การสนทนาธรรม ก็เป็นปรกติ
เพื่อที่จะเป็นการสะสมความเข้าใจ มั่นคงขึ้น
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 353
ต่อแต่นั้น ทรงลิขิตว่า พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ อย่างนี้
ทรงจุติจากชั้นดุสิต ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา
การเปิดโลกได้มีแล้วอย่างนี้ เมื่อทรงอยู่ในพระครรภ์มารดา ชื่อนี้ได้มีแล้ว
เมื่อทรงอยู่ครอบครองเรือน ชื่อนี้ได้มีแล้ว เมื่อเสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์
อย่างนี้ ทรงเริ่มตั้งความเพียรอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างนี้
เสด็จขึ้นสู่ควงมหาโพธิ ประทับนั่งบนอปราชิตบัลลังก์แล้ว ทรงแทงตลอด
สัพพัญญูตญาณ เมื่อทรงแทงตลอดสัพพัญญูตญาณ เป็นอันมีการเปิดโลก
แล้วอย่างนี้ ในชื่อว่ารัตนะเห็นปานนี้ อื่นไม่มีในโลกพร้อมกับเทวโลก ดังนี้
ทรงลิขิตพระพุทธคุณทั้งหลายโดยเอกเทศอย่างนี้ว่า
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่าง หนึ่ง ในโลกนี้
หรือโลกอื่น หรือ รัตนะใด อันประณีตในสวรรค์
ทรัพย์และรัตนะนั้น เสมอด้วยพระตถาคตไม่มี
พุทธรัตนะแม้นี้ เป็นรัตนะอันประณีต
ด้วยคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมี ดังนี้
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
...
[ตอนต่อไป ตอนที่ ๓ งามหมดจด พระรัตนบุษยภาชน์]
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพ
กราบอนุโมทนาในส่วนกุศลของทุกท่าน
และกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณคุณวันชัยในความกรุณาที่ได้่แบ่งปันธรรมด้วยค่ะ
แต่ว่า หยดน้ำของคุณความดี แม้เพียงเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล
ทีละหยด... ทีละหยด......
ด้วยความอดทน ขันติบารมี ด้วยสัจจะ ความจริงใจ
ที่มีความมั่นคงว่า
สิ่งที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง รู้ได้แน่นอน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"การฟังพระธรรม ต้องไม่ลืม พระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีเป็นปรกติ ที่คนอื่น ไม่สามารถจะรู้ได้เลย คือ เดี๋ยวนี้"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็ควรจะเป็นเวลาที่เริ่มรู้ว่า ไม่มีอะไรดี ในชีวิต ประเสริฐเท่ากับ การได้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ซึ่งยาก ลึกซึ้ง ละเอียด แต่ว่า สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
สาธุ
ขอบคุณอ.วันชัยที่แบ่งปันสิ่งที่ดีงามเพื่อการจรรโลงพระพุทธศาสนาและขออนุโมทนาค่ะ