หลวงพี่กำลังหา พระสูตร เกียวกับการ ทำอะไรให้มีสติอยู่เนื่องๆ

 
nano16233
วันที่  7 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22144
อ่าน  1,547

หลวงพี่กำลังหา พระสูตร เกี่ยวกับการทำอะไรให้มีสติอยู่เนืองๆ เนื้อหาประมาณ ทำงานให้รู้ว่าทำงาน เดินให้รู้ว่าเดิน พูดให้รู้ว่าพูด เคยเจอโดยบังเอิญจำไม่ได้ว่าเจอที่ไหน ใครพอจำได้ชี้ทางทีนะ

สาธุ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกโดยตลอด เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ สําคัญที่ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง

ประการที่สำคัญ การที่สติจะเกิดขึ้น ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงนั้น เป็นธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ จะเกิดก็ต่อเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด อิริยาบถใด ถ้ามีความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงอันเกิดจากการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้นได้ สำคัญที่เหตุจริงๆ คือ การฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ ครับ

พระธรรมเทศนาที่เกี่ยวกับการระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริง (สติปัฏฐาน) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียด สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่นี่

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 209

๙. มหาสติปัฏฐานสูตร

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 606

๑๐. สติปัฏฐานสูตร

[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒- หน้าที่ 1

พระอภิธรรมปิฎก

เล่มที่ ๒

สติปัฏฐานวิภังค์


กราบนิมนต์คลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ก่อนจะถึง ... สติ-ปัฏฐาน !

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่การเจริญสติปัฏฐาน ที่มีสติในอิริยาบถต่างๆ ทุกเมื่อ ซึ่งแม้แต่คำว่า สติ ที่เป็นสติปัฏฐาน

เราจะต้องเข้าใจให้ถูกครับว่า สติในพระพุทธศาสนากับสติที่ชาวโลกเข้าใจกันนั้น ไม่เหมือนกันเลย สติปัฏฐานที่เป็นสติและปัญญานั้น ไม่ได้หมายถึงสติที่รู้ว่ากำลังทำอะไร ไม่ใช่สติที่หมายถึงว่าเดินก็รู้ว่ากำลังเดิน ยืนก็รู้ว่ากำลังยืน ดังนั้น การที่รู้ว่ากําลังก้าวไป กำลังเดินไป กำลังทำอะไรอยู่นั้น ไม่ใช่สติปัฏฐานที่เป็นสติในการปฏิบัติเลยครับ เพราะสติในทางพระพุทธศาสนาหมายถึงสติเจตสิกที่เป็นสภาพธรรมที่ระลึก เกิดกับจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น การรู้ว่าทำอะไร ไม่ได้หมายถึงว่ามีสติในพระไตรปิฎกที่เป็นสติปัฏฐานสูตร ซึ่งได้แสดงไว้ชัดเจนในอิริยาบถบรรพ ฉะนั้น เวลาที่เราเดินก็รู้ว่ากำลังเดินอยู่ ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่สติในขณะนั้นครับ อรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า แม้สุนัขบ้าน ก็รู้ว่ามันกำลังเดินอยู่ จึงไม่ใช่สติปัฏฐาน แม้เด็กก็รู้ว่ากำลังเดินอยู่ กำลังก้าวไป จึงไม่ใช่การปฏิบัติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานครับ และที่สำคัญที่สุด ลืมไม่ได้เลย สติและปัญญาเป็นธรรม และธรรมเป็นอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะสติไม่มีตัวตนและไม่มีทางที่จะให้สติเกิดได้เลย เพราะไม่มีตัวตนที่จะบังคับให้สติเกิดในขณะที่เดิน ขณะที่ก้าว ขณะที่ย่าง ในความเป็นจริงการ เจริญสติปัฏฐานที่เป็นสติ สติในที่นี้หมายถึงการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กําลังปรากฎในชีวิตประจำวันที่เป็น จิต เจตสิกและรูป เช่น ระลึกรู้ในขณะที่เห็นว่าเป็นเพียงธรรม ที่เป็นจิตไม่ใช่เรา ขณะที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งอาศัยอาการเนื่องด้วยอิริยาบถ เช่น ขณะที่ยืน มีธรรมไหม มี ขณะที่ยืน ก็มีเห็น มีได้ยิน มีกระทบแข็ง ถ้าสติและปัญญาเกิดก็รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่การรู้ว่ากำลังเดิน กำลังยืน กำลังก้าวไป ไม่ใช่ ครับ เพราะขณะนั้นไม่ได้รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังข้อความในอรรถกถาที่อธิบาย ในเรื่องนี้

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 684

ความรู้ที่เป็นสติปัฏฐานภาวนา

ถึงสุนัขบ้าน และสุนัขจิ้งจอก เมื่อเดินไปก็รู้โดยแท้ว่า เรากำลังเดิน แต่การรู้นั่น พระองค์มิได้ตรัสหมายเอาการรู้แบบนี้ เพราะว่าการรู้แบบนี้ ละสัตตูปลัทธิ (การยึดถือว่าเป็นสัตว์) ไม่ได้ ถอนอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นอัตตา) ไม่ออก ไม่เป็นกรรมฐาน หรือสติปัฏฐานภาวนา แต่การรู้ของภิกษุนี้ ละสัตตูลัทธิได้ ถอนอัตตสัญญาได้ เป็นกรรมฐานหรือเป็นสติปัฏฐานภาวนา


ดังนั้น การทำอะไรให้มีสติอยู่เนืองๆ จึงมุ่งหมายถึงมีสติและปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎไม่ว่าในอิริยาบถใด เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง จะต้องอ่านอรรถกถาประกอบเพื่อความเข้าใจถูกเป็นสำคัญ และการจะมีสติและปัญญาเพิ่มขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ด้วยการคิดนึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่อาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม เป็นเหตุให้เกิดสติเป็นสำคัญ ครับ

ขอนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 9 ธ.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 10 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ