ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๖๙

 
khampan.a
วันที่  16 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22184
อ่าน  1,760

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙]

# ทำไมไม่รีบเร่งขวนขวายที่จะละกิเลส? ก็เพราะว่า เป็นผู้ที่ย่อมยินดีในความเนิ่นช้า ในโลภะที่สนุกมาก เพลิดเพลินมากในอกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ละ

# การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพียงท่องหรือพูดตามเท่านั้นว่า ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง โดยที่ไม่มีความเข้าใจพระธรรม เลย

# ถ้าหากไม่มีพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ก็ไม่มีใครสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันได้

# การที่จะเจริญกุศลทุกประการ แม้แต่การที่จะอบรมปัญญาด้วยการไตร่ตรองพิจารณาธรรม ก็จะต้องอาศัยวิริยะ (ความเพียร) จริงๆ

# ไม่ควรเลยที่จะมีความขุ่นเคืองใจ ไม่ว่าโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโกรธคนนั้นที่ทำไม่ดี โกรธคนนี้ที่พูดอย่างนั้น หรือว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ล้วนไม่ดีทั้งนั้น

# ถ้าวิริยะทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น การระลึกได้จะทำให้จิตที่ขุ่นเคืองละคลาย เบาบาง และอาจจะมีเมตตาเกิดขึ้นทันที แปลงสภาพจากความขุ่นเคืองเป็นความผ่องใสทันทีได้

# สภาพของกุศลธรรม เป็นสภาพที่ผ่องใส ไม่ใช่เป็นสภาพที่ขุ่นเคือง เศร้าหมอง

# โทสมูลจิตคือขณะไหนบ้าง ก็ให้ทราบจากเวทนาความรู้สึกว่า ขณะใดที่ความรู้สึกไม่สบาย ขณะนั้นทั้งหมดเป็นโทสมูลจิต จะเป็นความน้อยใจ จะเป็นความเสียใจ ความกลัว ความตื่นเต้น ความตกใจ ซึ่งเป็นลักษณะสภาพที่ไม่สบายใจ ขณะนั้นเป็นโทสมูลจิต

# วิริยะทางฝ่ายกุศลจะเกิดได้ ถ้ามีการฟังพระธรรม แล้วเป็นผู้ที่ไม่เนิ่นช้า พร้อมที่จะละอกุศล

# สิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้น นี้แหละ คือ โลก (โลก หมายถึง สภาพที่แตกสลาย เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป)

# การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นวีระ ผู้กล้า ผู้สามารถ ผู้องอาจ ผู้แกล้วกล้า ที่จะรู้ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่มีหนทางอื่นที่จะรู้ได้เลย นอกจากฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจจริงๆ ว่า เป็นอย่างนี้แน่นอน

# จากที่เคยเป็นผู้ขยันในอกุศลธรรม ก็ควรที่จะเริ่มเป็นผู้กล้าในทางธรรม โดยการที่จะต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะรู้ได้

# ธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ ก็คือเมตตา, ทุกคนต้องเคยทำผิด แม้แต่ท่านเองก็เคยทำผิดอย่างนั้นๆ มาแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะขุ่นเคืองใจในบุคคลอื่น

# จากที่เคยเป็นผู้มีวาจาแรงๆ พูดไม่น่าฟัง ป็น ผู้พูดวาจาไม่แรง น่าฟัง และเป็นประโยชน์ด้วย อะไรที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้ ก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก

#การศึกษาพระธรรม ถ้าคิดเอาเอง ก็ย่อมผิด

# ถ้าไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในความมืดมิดของอวิชชา ความไม่รู้ ก็จะไม่แสวงหาแสงสว่างคือ ปัญญา ที่จะทำให้ตนเองพ้นจากความมืดมิดดังกล่าวได้

# กว่าจะเป็นผู้มีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็จะต้องเป็นผู้รู้คุณค่าของทุกๆ คำที่เป็นธรรมรัตนะ

# ธรรม ละเอียดยิ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

# ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นเราไม่ได้

# เมื่อค่อยๆ รู้ขึ้น ก็ค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ได้

# นี้ ทุกข์ คือ เดี๋ยวนี้หรือเปล่า? เห็นขณะนี้ เป็นทุกข์ เพราะเกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน

# สาระสำคัญของชีวิตอยู่ตรงไหน? อยู่ที่การได้เข้าใจพระธรรม

# คบสัปบุรุษ ซึ่งเป็นคนดี มีปัญญา ก็เพื่อที่จะได้ฟังธรรมจากสัปบุรุษนั้น

# สาธยาย เป็นการกล่าวตามลำดับด้วยดี ไม่สับลำดับ ด้วยความเข้าใจ

# ความเข้าใจแม้ในขั้นของการฟัง ก็ยังดี ดีกว่าไม่มี ดีกว่าไม่ฟัง

# จะเข้าใจธรรมโดยไม่ได้ฟัง เป็นไปไม่ได้

# จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจ ปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่ฟังเพื่อหวังอย่างอื่น

# จะเป็นคนที่ฉลาดก่อนตาย ด้วยการเป็นคนดี หรือ จะเป็นคนไม่ฉลาดก่อนตาย ด้วยการเป็นคนชั่ว?

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๖๘ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- บัณฑิตผู้ฉลาด ท่านรู้ว่า อะไร เป็นการเจริญขึ้นของปัญญา และ อะไร เป็นทางเสื่อมของปัญญา ท่านก็จะตั้งตนไว้ใน ทางที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้ นั่นก็คือการตั้งใจฟังพระธรรม สิ่งที่มีค่า...คือ สิ่งนั้น ไม่ทำให้เกิดความทุกข์.

- จะเข้าใจว่า สิ่งใดมีค่า สิ่งนั้นมีค่าจริงๆ เพราะไม่ทำให้เกิดความทุกข์.แต่ ถ้าสิ่งนั้นยังทำให้เกิดความทุกข์ สิ่งนั้น มีค่าไหม.? แก้ว แหวน เงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ ฯลฯ ใครคิดว่ามีค่ามหาศาลบ้าง แต่ สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดความทุกข์ แล้วจะเรียกว่ามีค่า ได้ไหม.? แต่ สิ่งที่มีค่าแท้จริง คือ สิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่จะกล่าวว่า สิ่งใดมีค่า หรือ เห็นค่าของสิ่งใด ก็ต้องเห็น ความลึกซึ้งของสิ่งนั้น ด้วย ว่า "เหนือสิ่งอื่นใดเพราะเหตุว่า ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ ที่กล่าวว่า...ไม่มีอะไรที่มีค่าเสมอพระรัตนตรัยเพราะเหตุว่า ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลย. ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระธรรมที่ทรงแสดง และ พระอริยสาวก สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นโทษเป็นภัยแก่ใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่า สิ่งใดมีค่า ก็ควรที่จะสะสมสิ่งนั้น ไม่ใช่สะสมสิ่งอื่นซึ่งไม่มีค่า.

- คำว่า "ใจสบาย" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสนั้นไม่ได้หมายถึง "อกุศลธรรม" แต่ต้องหมายถึง กุศลธรรม เพราะฉะนั้นขณะใด.....ที่กำลังมี "ศรัทธา" ที่จะฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ในความละเอียดของพระธรรม ขณะนั้นก็จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง คือ เข้าใจ ว่า มีค่าเปรียบกับอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าสิ่งนี้ สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งก็คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ในขณะนี้. เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะรู้จัก "ธรรมะ" จริงๆ แล้วก็มีความเห็นถูกว่าการที่สังสารวัฏฏ์ดำรงอยู่ และ ยังต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็เพราะเหตุ คือ มีปัจจัยที่ทำให้ดำรงอยู่อย่างนั้น.

- แม้ในขั้นต้น คือ ขณะนี้...ใจสบายหรือเปล่า.?ตอบได้เองใช่ไหมคะ.? เดี๋ยวก็สบาย เดี๋ยวก็ไม่สบาย.? หมายความว่า เดี๋ยวก็เป็นกุศลธรรม เดี๋ยวก็เป็นอกุศลธรรม. ฟังพระธรรมแล้ว เข้าใจด้วย ว่า เป็นธรรมะ เข้าใจ ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็น อกุศลธรรม. ทุกคนบอกได้ว่า อกุศลธรรมไม่ดี ควรละ แล้วผลเป็นอย่างไร.? จากการที่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจด้วยว่า เป็นธรรมะฝ่ายไม่ดีแต่ ก็ยังละไม่ได้.! เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็น ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจว่า ธรรมะเป็นอนัตตา จริงๆ ไม่มีทางที่จะละ โลภะ โทสะ โมหะ และ อกุศลธรรมใดๆ ได้เลยตราบใดที่ยัง "เป็นเรา เป็นตัวตน หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

- ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยกำลังของเราเอง และยังสามารถเป็นที่พึ่งพาอาศัย หรือช่วยหลือบุคคลอื่นได้ด้วยตามสมควร ควรจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ.? และถ้าเรามีความสามารถในการงาน มีความฉลาดในการบริหารทรัพย์ และ สามารถที่จะเพิ่มพูนทรัพย์ได้ "ในทางสุจริต" เป็นสิ่งที่ควรหรือเปล่าคะ.? ปัญหาที่ควรพิจารณา คือ ถ้าเราจะต้องลำบาก แต่ เราสามารถที่จะใช้ทรัพย์นั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ฉลาดพอหรือไม่ ที่คิดว่าทรัพย์ของตนจะเพิ่มขึ้นได้ "ในทางสุจริต" ถ้ามีทรัพย์สินมาก และไม่ติดข้องมากจนเกินไป มีความพอใจเท่าที่มี และ ยังสามารถที่จะสละทรัพย์ของตนให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นด้วยก็เป็นสิ่งที่สมควร.? ถ้ามีทรัพย์ พอที่จะสละให้ผู้อื่นได้ โดยพิจารณาว่า มีเหตุผล-สมควรที่จะให้ ก็สามารถให้ด้วยความสบายใจ โดย ไม่ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ในการดำรงชีวิตของคฤหัสถ์ นั้น เป็นเรื่องที่ควรเข้าใจด้วยว่าเมื่อยังมีโลภะอยู่...ก็ควรเป็นผู้ฉลาด. ฉลาด คือ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ชีวิตของคฤหัสถ์นั้น มีความแตกต่างกันไป ถ้าเรามีความสามารถที่จะช่วยเหลือใครได้ ก็ควรกระทำ. ไม่ใช่เป็นผู้ที่ ไม่สละ อะไรเลยจนถึงกับ ตระหนี่ หรือ ไม่สันโดษ พอใจในสิ่งที่ตนมีจนถึงกับ มีเท่าไร-ก็ไม่พอ และควรเป็น "ปัญญา" ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่าความติดข้องยิ่งน้อยลงเท่าไร...ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และ ปัญญา ที่เข้าใจอย่างนี้ ที่ทำให้ชีวิตของคฤหัสถ์ที่ยังต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน เป็นผู้ที่ฉลาดในการใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น. แต่ ถึงแม้จะมีทรัพย์สินมากมาย ผู้มีปัญญา ย่อมเป็นผู้ที่ลด-ละ-โลภะ ในตนเองด้วย การเห็นโทษของโลภะ บางครั้ง การที่จะสละสิ่งที่เราพอใจให้บุคคลอื่นนั้น ดูเหมือนยาก แต่ ถ้าสามารถ สละได้....ก็คือ ชนะโลภะ มีหลายเหตุการณ์ ในชีวิตคฤหัสถ์ที่ ปัญญา จะทำให้มีชีวิตอยู่โดยเป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และ บุคคลอื่น.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ถ้าไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในความมืดมิดของอวิชชา ความไม่รู้ ก็จะไม่แสวงหาแสงสว่างคือ ปัญญา ที่จะทำให้ตนเองพ้นจากความมืดมิดดังกล่าวได้

กว่าจะเป็นผู้มีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็จะต้องเป็นผู้รู้คุณค่าของทุกๆ คำที่เป็นธรรมรัตนะ

สิ่งที่มีค่าแท้จริง คือ สิ่งที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
daris
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
rrebs10576
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
rrebs10576
วันที่ 17 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
บรรพต
วันที่ 18 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 18 ธ.ค. 2555

จะเป็นคนที่ฉลาดก่อนตาย ด้วยการเป็นคนดี หรือ จะเป็นคนไม่ฉลาดก่อนตาย ด้วยการเป็นคนชั่ว?

- แม้ในขั้นต้น คือ ขณะนี้...ใจสบายหรือเปล่า.?ตอบได้เองใช่ไหมคะ.? เดี๋ยวก็สบาย เดี๋ยวก็ไม่สบาย.? หมายความว่า เดี๋ยวก็เป็นกุศลธรรม เดี๋ยวก็เป็นอกุศลธรรม. ฟังพระธรรมแล้ว เข้าใจด้วย ว่า เป็นธรรมะ เข้าใจ ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็น อกุศลธรรม. ทุกคนบอกได้ว่า อกุศลธรรมไม่ดี ควรละ แล้วผลเป็นอย่างไร.? จากการที่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจด้วยว่า เป็นธรรมะฝ่ายไม่ดีแต่ ก็ยังละไม่ได้.!เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็น ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เพราะเหตุว่ายังไม่เข้าใจว่า ธรรมะเป็นอนัตตา จริงๆ ไม่มีทางที่จะละ โลภะ โทสะ โมหะ และ อกุศลธรรมใดๆ ได้เลยตราบใดที่ยัง "เป็นเรา เป็นตัวตน หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
panasda
วันที่ 18 ธ.ค. 2555

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
kinder
วันที่ 18 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เข้าใจ
วันที่ 19 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
orawan.c
วันที่ 19 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pamali
วันที่ 25 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 พ.ย. 2564

ไม่ควรเลยที่จะมีความขุ่นเคืองใจ ไม่ว่าโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโกรธคนนั้นที่ทำไม่ดี โกรธคนนี้ที่พูดอย่างนั้น หรือว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ล้วนไม่ดีทั้งนั้น และถ้าวิริยะทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น การระลึกได้จะทำให้จิตที่ขุ่นเคืองละคลาย เบาบาง และอาจจะมีเมตตาเกิดขึ้นทันที แปลงสภาพจากความขุ่นเคืองเป็นความผ่องใสทันทีได้ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ