ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๖๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘]
--- ถ้ารู้จักนรก จะไม่ทำชั่ว จะไม่เดินทางผิด จะไม่ทำทุจริตกรรม
--- ธรรม เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่ว่าใคร บอกอะไรก็เชื่อไปหมด
--- ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ โดยอาศัยการ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย
--- พึ่ง ต้องพึ่งปัญญา ไม่ใช่พึ่งความไม่รู้ เพราะความไม่รู้และอกุศลธรรมทั้งหลาย พึ่งไม่ได้
--- ถ้าไม่มีความจริงใจ จะไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย
--- ปัญญาจะนำพาชีวิตไปสู่ทางที่ดี ขัดเกลากิเลส มี ความไม่รู้ เป็นต้น
--- สุขทุกข์มาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ สุขทุกข์ก็มีไม่ได้
เพราะไม่รู้ความจริง จึงยึดถือสิ่งที่มีจริงเพียงชั่วคราวว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล
ธรรม น่าอัศจรรย์ จากไม่มีแล้วมีปรากฏเพราะเหตุปัจจัย
ความไม่ดีทั้งหมดไม่มีประโยชน์เลย ความไม่ดีทั้งหมดเกิดมาจากการไม่รู้ความจริง
เกิดมาเพียงชั่วคราว ประโยชน์จึงอยู่ที่การสะสมความดี
ถ้าคิดว่าชีวิตเพียงชั่วคราวจริงๆ จะทำดีหรือทำชั่ว?
เพราะไม่โลภ เพราะไม่โกรธ เพราะไม่หลง จึงกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจความจริง เพื่อที่
จะละความติดข้องและความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ไม่ว่าจะฟังพระธรรมหรือคำที่ทรงเทศนาตลอด ๔๕ พรรษา ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ
ในขณะนี้ ที่จะทำให้แต่ละคนได้เห็นถึงพระปัญญาคุณพระบริสุทธิคุณและพระมหา-
กรุณาคุณ จากที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่า
จะรู้แจ้งตามความเป็นจริง
ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้ ถ้าไม่มี
การฟังพระธรรม
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่มีจริงๆ นั้น ไม่ได้มีเฉพาะกุศลธรรม
ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีเท่านั้น อกุศลธรรม ก็มี ที่ไม่ใช่ทั้งกุศลธรรมและไม่ใช่ทั้งอกุศล
ธรรม ก็มี สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน มีหลากหลายมากทีเดียว
มิตรที่หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือ ทุกขณะ หวังที่จะให้บุคคลนั้น
เป็นคนดี
ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน นอกบ้าน ประเทศชาติ หรือ โลก ที่จะสงบได้ ก็เพราะ
คุณความดี
แต่ละหนึ่ง ถ้าเป็นคนดี ทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่ ถ้าแต่ละหนึ่งไม่ได้
เป็นคนดี ปัญหามีแน่นอน
ทุกคนมีความทุกข์ แต่ผู้ที่ฉลาด ก็จะต้องพิจารณาว่าจะบอกหรือไม่บอกใคร
เพราะเหตุว่าถ้าคนอื่นช่วยไม่ได้ หรือคนที่จะบอกช่วยไม่ได้ ก็เท่ากับไปยกทุกข์ให้
กับคนอื่น คือ ไปพลอยให้เขาเป็นทุกข์ลำบากไปด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ฉลาด
ก็จะต้องรู้ว่าควรจะบอกกับใคร
ทุกคนยังเป็นผู้พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ จะไม่มีใครปฏิเสธ
เลย ชีวิตจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ จนกว่าที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงขั้นบรรลุเป็นพระ
อนาคามีบุคคล ถึงแม้ว่ายังเป็นพระโสดาบันบุคคลหรือพระสกทาคามีบุคคล รู้แจ้ง
อริยสัจจธรรมและดับกิเลสเป็นลำดับไป แต่เมื่อยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล
ก็ยังมีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
ขณะใดที่กุศลกรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นเหตุที่ดีแน่นอน ที่จะทำให้ผลที่ดีเกิดได้เห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ แต่ความติด ความปรารถนา
ความต้องการที่จะหลงเพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้น เป็นอกุศล
ผู้ที่ตรงต่อตัวเอง ก็ย่อมจะรู้ว่า ไม่ควรที่จะเป็นผู้ที่ทะนงตนหรือสำคัญตน แต่ควร
เป็นผู้อ่อนน้อม และสะสมการกระทำทุกอย่างที่ถูกที่ควร เพื่อละคลายอกุศล
สิ่งที่ถูกกิเลสติดข้องพอใจ สิ่งนั้น เป็นวัตถุกาม ตัวที่ติดข้องเป็นกิเลสกาม
ความติดข้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
ทั้งสิ้น แต่ถ้ามีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง ก็สามารถจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง
ที่เป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรมได้ เพราะเห็นโทษ
เวลาสนทนาธรรม มีไม่มาก แต่ข้อความในพระไตรปิฎก มีมาก ที่จะได้ฟัง ได้
ศึกษาต่อไป
การสนทนาธรรม หรือการศึกษาธรรม การฟังธรรม การแสดงธรรม การไตร่ตรอง
พิจารณาธรรม การกระทำต่างๆ เหล่านี้จะเป็นเหตุให้ปัญญาเกิดร่วมกับกุศลจิต แต่ถ้า
ทำอย่างอื่นแล้วก็หวังว่าอยากจะให้ปัญญาเกิด ก็ควรจะพิจารณาว่า จะเป็นไปไม่ได้
เลย
เมื่อได้ฟังพระธรรม ย่อมทำให้ความไม่รู้สงบไปบ้าง
กิเลสหมดไปได้ เพราะปัญญา และจะต้องเป็นไปตามลำดับด้วย
วาจาสัจจะ ทุกคำที่เป็นพระพุทธพจน์ จะนำไปสู่การรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริง
เป็นไปตามที่ตรัสไว้แล้วทุกประการ
แม้จะมีเพื่อนที่ทรยศ แต่เราจะไม่เป็นเพื่อนทรยศ (ในเมื่อคนอื่นเขาร้าย
แต่ใจเราไม่ร้าย ได้หรือไม่?) .
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๖๗ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และไม่รู้เวลาเลยว่า วันไหน และ
เมื่อไหร่ โอกาสที่เกิดเป็นมนุษย์ยาก โอกาสได้พบพระธรรม ได้ฟังพระธรรมก็หายาก
ชีวิตที่เหลือน้อย ควรใช้เวลาที่มีค่า แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา ถึง
ความเป็นไปในชีวิตว่าเป็นของน้อย ย่อมจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรม ฟัง
พระธรรมมากขึ้น โดยที่ไม่ปล่อยมือจากพระธรรมไป
สาระคือสิ่งที่เป็นแก่น สิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการได้ รูป
เสียง รส กลิ่น..... แต่ประโยชน์คือกุศลธรรมนี่คือสาระ เพราะนำมาซึ่งประโยชน์สุขใน
โลกนี้ ประโยชน์สุขในโลกหน้าและประโยชน์อย่างยิ่ง (นิพพาน) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสาระจึงมีหลายระดับตามระดับของกุศลธรรม ศีลก็เป็นสาระ นำมาซึ่งประโยชน์ ความ
สุข สมาธิก็เป็นสาระ (สัมมาสมาธิ) ปัญญาก็เป็นสาระเพราะเห็นถูกตามความเป็นจริง
วิมุตติ (การหลุดพ้น) เป็นสาระเพราะประโยชน์สูงสุดของการศึกษาพระธรรมคือ เพื่อหลุด
พ้นจากกิเลส ดังนั้น วิมุตติ (การหลุดพ้น) จึงเป็นสาระ
การเจริญขึ้นด้วยทรัพย์สินเงินทองบริวาร เป็นผลของกุศลกรรมในอดีต จะสะสมต่อ
ไปได้ ก็ด้วยกุศลกรรม แต่การเจริญด้วยทรัพย์คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็น
การสะสม จากในอดีตและต่อๆ ไป ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจธรรมเห็นถูก กุศลธรรมจึง
สามารถเจริญขึ้นต่อไป
เวลานี้ใครชื่ออะไร พบกันหลายครั้ง ไปมาหาสู่กัน เที่ยวด้วยกัน รู้จักกันไม่นาน
พอหมดก็ไม่รู้จักกันอีกเลย เหมือนบุคคลชาติก่อนๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรงถูกต้องคือ
ปัญญา ซึ่งต้องอาศัยศรัทธา ฟังจนเห็นถูกต้อง คลายความไม่รู้ ติดข้องทรัพย์ รู้ว่า
ทั้งหมดก็ตามมีตามได้ ตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้
เรื่องของบารมี เป็นเรื่องที่จบเมื่อสมบรูณ์ แต่ว่าก่อนที่จะถึงความสมบรูณ์ ก่อนที่
จะจบลงได้ ก็จะต้องอบรมไป และก็อดทนไปแต่ละชาติ ซึ่งก็เป็นจิรกาลภาวนา
เพราะเหตุว่าต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เมื่อ
เห็นกิเลสมากเท่าไหร่ ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียวค่ะ กว่าที่จะขัดเกลา
กิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรม และก็ไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง
เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา และการ
ขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น.
ผู้ที่ยังมีความสำคัญตน ซึ่งทุกคนนี่นะคะ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง ก็จะต้องรู้สึกว่ายังมี
อยู่แน่ๆ เพียงแต่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ เพราะเหตุว่า ผู้ที่ไม่มีคือพระอรหันต์ และความ
สำคัญตนนี่นะคะ จะมีอย่างละเอียดจนกระทั่งถึงขั้นที่ต้องการให้กุศลเกิดนะคะ หรือ
ว่าทำกุศลต่างๆ เพื่อความสำคัญของตนว่าเป็นคนดี นี่ค่ะคือความล้ำลึกของอกุศล
นะคะ ซึ่งถ้าปัญญาไม่รู้ทันอกุศลนั้นๆ ก็ไม่สามารถที่จะละคลาย แม้แต่ขณะที่ทำกุศล
ก็จะต้องพิจารณาว่า เป็นผู้ที่ทำเพื่ออะไร เพราะเหตุว่า บางคนนี่นะคะ ยังมีความ
สำคัญตนอยู่มาก เพราะฉะนั้น ทำกุศลก็เพื่อความสำคัญตนว่าเป็นคนดี
ความเข้าในพระธรรม ที่มากพอ มากพอที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิต เกิดแทนที่อกุศล-
จิต นี่คือประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ฟังด้วยความหวัง ว่า เมื่อไร
สติปัฏฐานจะเกิด โดยที่ไม่เข้าใจ ว่า เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง. ใครก็ไปกะเกณฑ์ไม่
ได้ว่า วันนี้จะให้เข้าใจได้แค่นี้ วันต่อไปจะให้เพิ่มขึ้นอีกมาก หรือ หวังว่าสติปัฏฐานจะ
เกิดเมื่อไรถ้าเข้าใจ ความเป็นอนัตตา ของ "ธรรม" ก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้เลย
ปัญญาขั้นฟังก็ยาก ปัญญาขั้นปฏิบัติก็ยาก แต่ถึงจะยากสักแค่ไหน ก็เป็นสิ่งที่น่ารู้
น่าพิสูจน์ เพราะสิ่งที่น่ารู้ และ น่าพิสูจน์ นั้น...ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏกับเรา ขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ทางใดทางหนึ่ง
ในชีวิต "ปกติ" ประจำวัน ลักษณะที่ไม่เที่ยง เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง แปรปรวนของ
นามธรรม และ รูปธรรม นั้นมีปรากฏอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือ ทำอะไร สิ่งที่
มีจริงนั้น....พร้อมที่จะให้พิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เริ่มที่จะพิสูจน์ให้รู้ ตั้งแต่ขณะ
ที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ชีวิต...ก็ย่อมระหก ระเหินไปตามความหมุนเวียนของกิเลส กรรม
วิบากในภพชาติต่างๆ ที่เกิดเป็น บุคคล ต่างๆ มีความสุข ทุกข์ หมุนเวียนเปลี่ยนไป
ไม่รู้จักจบสิ้นเพราะไม่รู้ "ความจริงของชีวิต" สังสารวัฏฏ์ก็ไม่สิ้นสุด และ โอกาสของ
"ความเป็นมนุษย์" ในโลกนี้ก็กำลังหมดสิ้นไป ทุกวัน ทุกคืน ครับ
ขออนุโมทนา
ผู้ที่ตรงต่อตัวเอง ก็ย่อมจะรู้ว่า ไม่ควรที่จะเป็นผู้ที่ทะนงตนหรือสำคัญตน แต่ควรเป็น
ผู้อ่อนน้อม และสะสมการกระทำทุกอย่างที่ถูกที่ควร เพื่อละคลายอกุศล
ปัญญาขั้นฟัง ก็ยาก ปัญญาขั้นปฏิบัติ ก็ยาก แต่ถึงจะยากสักแค่ไหน ก็เป็นสิ่งที่น่ารู้
น่าพิสูจน์ เพราะสิ่งที่น่ารู้ และ น่าพิสูจน์ นั้น...ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏกับเรา ขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจทางใด ทางหนึ่ง
ในชีวิต "ปกติ" ประจำวัน ลักษณะที่ไม่เที่ยง เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง แปรปรวนของ
นามธรรม และ รูปธรรม นั้นมีปรากฏอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือ ทำอะไร สิ่งที่
มีจริงนั้น....พร้อมที่จะให้พิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่เริ่มที่จะพิสูจน์ให้รู้ ตั้งแต่ขณะที่
ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ชีวิต... ก็ย่อมระหก ระเหินไป ตามความหมุนเวียนของกิเลสกรรม
วิบากในภพชาติต่างๆ ที่เกิดเป็น บุคคล ต่างๆ มีความสุข ทุกข์ หมุนเวียนเปลี่ยนไป
ไม่รู้จักจบสิ้นเพราะไม่รู้ "ความจริงของชีวิต" สังสารวัฏฏ์ก็ไม่สิ้นสุด และ โอกาสของ
"ความเป็นมนุษย์" ในโลกนี้ก็กำลังหมดสิ้นไป ทุกวัน ทุกคืน ครับ
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิม ค่ะ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม พี่เมตตา และทุกๆ ท่านครับ
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ฟัง หรือ แม้ความดีที่เกิดขึ้น
ทรงอุปมาว่า
เหมือนหยดน้ำ ทีละหยด
เทียบกับวันนี้ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ามา เป็นอกุศลมากเท่าไหร่ แล้วก็มีหยดน้ำสักกี่หยด?
แค่หยดน้ำ...ตื่นมาแล้วนี่ มีหยดน้ำหรือยัง?หรือว่า เต็มไปด้วยอกุศล?
แต่ว่า หยดน้ำของคุณความดี แม้เพียงเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล
ทีละหยด ทีละหยด ด้วยความอดทน ขันติบารมี ด้วยสัจจะ ความจริงใจ ที่มี
ความมั่นคงว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง รู้ได้แน่นอน