ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๗๐

 
khampan.a
วันที่  23 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22222
อ่าน  2,242

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐]

ยังไม่รู้จักโลกแต่ก็กล่าวว่าโลกจะสิ้น โลกจะแตก วันนั้นวันนี้หรือวันไหนๆ ซึ่งเป็นการพูดในสิ่งที่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจ ทุกคนควรพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้เป็นโลกหรือเปล่า เพราะโลกเป็นโลก ไม่ได้เป็นอย่างอื่นเลย สิ่งใดที่เกิดแล้วดับไป นี้แหละคือ โลก เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดแล้วดับไปไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ทุกอย่างที่เกิดมีปรากฏ จึงเป็นโลกแต่ละหนึ่ง

เกิดมาแล้ว ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่สามารถจะมีความสุขที่แท้จริงได้เลย มีแต่จะไปแสวงหาความสุขกับสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วเท่านั้นเอง

สัจจะ เป็นความจริง ไม่เคยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น สิ่งใดที่จริง ย่อมเป็นจริง ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยิ่งมีความเข้าใจมากเท่าใด ก็มีความทุกข์น้อยลง มีความไม่หวั่นไหวมากขึ้น เพราะได้เข้าใจความจริง

จะลดทุกข์ลงได้ ต้องเกิดจากปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก แต่ความเห็นที่ถูกต้อง เกิดเองไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเข้าใจธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและเริ่มเข้าใจขึ้น

ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ใครๆ ก็ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนไม่ได้เลยทั้งสิ้น

ที่พึ่งที่แท้จริงต้องเป็นพระรัตนตรัย เท่านั้น เกิดมาแล้วไม่รู้ความจริง ติดข้องในสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ประโยชน์อยู่ตรงไหน? น่าเสียดายเวลาที่ผ่านไปโดยไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเลย

สำคัญที่ความคิด ถ้ามีเหตุที่ทำให้คิดดี เราจะไม่ไปคิดถึงสิ่งอื่นที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจเลย

ใจสำคัญ สบายหรือไม่สบายถ้าไปคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น ไม่สบายอย่างแน่นอน

ก่อนศึกษาพระธรรม คิดถึงแต่อกุศลของคนอื่น แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะคิดถึงความไม่ดีของตนเองมากขึ้น เพื่อประโยชน์แก่การขัดเกลา

ใครๆ ก็บังคับสภาพธรรมไม่ได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย มีสิ่งที่มีจริงซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถสร้างหรือดลบันดาลให้ธรรมเกิดขึ้นได้เลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน ต้องมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง ใครๆ ก็เลือกไม่ได้

เกิดมาเพียงชั่วคราว จะแบกโลก จะแบกทุกข์ไว้ทำไม ถ้าไม่แสวงหาหนทางที่ทำให้เข้าใจความจริงด้วยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็แบกต่อไป เป็นทุกข์ต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ พระรัตนตรัยย่อมทำให้ผู้ที่กำลังพึ่ง ได้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรัตนะ เพราะพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ พึ่งได้จริงๆ แต่ไม่ใช่ด้วยกราบไหว้วิงวอนขอร้องให้หมดทุกข์ แต่พึ่งพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

ธรรมที่เป็นธรรมรัตนะ ต้องเป็นธรรมที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะสามารถละความไม่รู้ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ดับกิเลสตามลำดับขั้น

จะมีทรัพย์สมบัติ หรือ ทรัพย์สมบัติพินาศไป ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย

ความสุขที่เคยได้รับ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน ดับไปหมดแล้ว แล้วก็แสวงหาต่อไป แล้วก็อยู่ไหน ดับไปหมดเลย ไม่มีเหลือ ชั่วคราวจริงๆ แล้วก็หลงยึดติดอีก

ในบรรดาธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหลาย ปัญญาเป็นเลิศ เอาเงินทองมาซื้อก็ไม่ได้ ขอแลกกับคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะปัญญา เป็นธาตุ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็จะต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง

ชาติหน้ายังไม่ถึง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากรรมใดจะให้ผลในชาติไหน จะให้ผลอย่างไร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ขณะนี้ ชาตินี้ เห็นๆ กันอยู่ รู้ๆ กันอยู่ ก็ควรที่จะได้สะสมแต่สิ่งที่ดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้นต่อไป

โดยมาก คนเรามักจะหวังสิ่งอื่นจากบุคคลอื่นเสมอ เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า จะมีเพื่อนดี หรือ ตัวเองจะเป็นเพื่อนที่ดี

การที่จะมีความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ต้องเป็นปัญญา ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่เดือดร้อน ไม่ว่าจะประสบกับผลของอกุศลกรรมมากมายเพียงใดก็ตาม และยังเป็นเหตุให้สะสมกุศลต่อไปอีกด้วย ปัญญา จึงช่วยรักษาจิตของตนไม่ให้เป็นอกุศล

เกิดมาชาติไหนๆ ก็มีเพื่อน หวังแต่ว่าไม่อยากเจอเพื่อนทรยศ แต่ตัวเราเป็นเพื่อนทรยศต่อเขาหรือเปล่า นี้เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณา

สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าความไม่ดีทั้งหลาย ทำให้เกิดความประพฤติที่ไม่ดีมากมายเพียงใด จึงทำอกุศลกรรม เพราะไม่เห็นโทษ อกุศลทั้งหลายมาจากความไม่รู้จริงๆ

สัปบุรุษ เป็นบุคคลที่สงบจากกิเลส การคบกับบุคคลผู้ไม่สงบจากกิเลส ก็คบกันมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ แต่ที่จะได้คบกับสัปบุรุษที่สงบจากกิเลส ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา จึงจะรู้คุณค่าว่า คบกับสัปบุรุษเพื่อประโยชน์อะไร คบสัปบุรุษก็เพื่อจะเป็นผู้สงบจากกิเลสด้วย ซึ่งจะต้องเป็นผู้เห็นโทษของกิเลสและมีปัญญาพอที่จะรู้ว่า คบสัปบุรุษเพื่อฟังสิ่งที่ทำให้สงบจากกิเลส เพราะเหตุว่า เมื่อสัปบุรุษเป็นผู้ที่สงบจากกิเลส ก็จะสามารถรู้หนทางที่จะทำให้คนอื่นสงบจากกิเลสได้ด้วย เพราะฉะนั้นก็คบเพื่อที่จะได้ฟังพระธรรม ได้ฟังความจริงที่จะทำให้สงบจากกิเลส สงบจากความไม่รู้ สงบจากความเห็นผิด สงบจากความติดข้อง เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างไปจากคบกับบุคคลผู้เต็มไปด้วยกิเลส มีแต่จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ทำให้สงบจากกิเลส

ทำดี ก็ตามระดับขั้นของปัญญา ฟังน้อย ศึกษาน้อย แล้วจะให้ปัญญาเกิดมากๆ จะเป็นไปได้อย่างไร

ธรรม ไม่ใช่สิ่งที่คิดเอาเอง แต่เป็นเรื่องที่จะต้องฟัง ต้องศึกษาให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

อกุศล เกิดไม่ยาก กุศลเกิดยากกว่า แต่ปัญญาก็เกิดยากกว่ากุศลประการอื่นๆ

จะเป็นคนดีขึ้น ก็ด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น

จะรักตน ให้เป็นอกุศลมากๆ หรือจะรักตนให้มีกุศล ให้มีปัญญาเกิดมากๆ

จะสะสมความเข้าใจธรรม จากที่ไหน ก็จากการฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

ไม่ใช่เพียงแต่กายสุจริต วจีสุจริต แต่ต้องถึงใจ คือ มโนสุจริตด้วย

ถ้าเป็นอกุศลแล้ว จะเป็นสุจริตไม่ได้

พระธรรมทั้งหมดที่ได้ฟังได้ศึกษา ก็เพื่อเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

ขณะที่หลับสนิท ดูเหมือนว่าจะไม่มีจิต แต่ความจริงแล้ว มีจิต ไม่เคยปราศจากจิตเลย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตทุกขณะ และทีละขณะด้วย

ถ้าใครทำให้เสียหาย ทำให้เดือดร้อน แทนที่จะโกรธ ก็รู้ว่าเป็นการเพิ่มพูนขันติบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น

มีโอกาสแล้ว ไม่ฟังพระธรรม เอาไว้ฟังในวันอื่น นี่ก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าแล้ว

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๖๙ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- การที่จะมีเมตตา มีได้ทุกขณะเลย ในขณะที่ไม่รู้สึกโกรธ หรือว่าไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจเพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่จะรู้ว่าตัวเองมีเมตตาเพี่มขึ้นหรือไม่ ก็จะสังเกตได้ว่า ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่มีเมตตา ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็ไม่มีเมตตา ถ้ารู้ตัวอย่างนี้ ความโกรธก็จะลดลง แล้วเมตตาก็จะเพี่มขึ้น แต่ว่าถ้าจิตใจของเราทุกคน เป็นเพื่อนกับคนอื่น อย่างที่ทราบแล้วก็คือเป็นผู้มีเมตตา แล้วก็ใครคิดที่่ จะเจริญเมตตาจริงๆ ก็ไม่ยากเลย คือไม่ต้องท่องเลย เพียงแต่ว่าให้ช่วยเหลือคนอื่น เป็นมิตรกับคนอื่น แล้วก็สังเกตเวลาที่เกิดความขุ่นเคืองใจบุคคลใด ก็แสดงว่าขาดเมตตาต่อบุคคลนั้น - ถ้าเป็นในครั้งอดีตกาล ในสมัยพระผู้มีพระภาค ยังไม่ปรินิพพานตัวอย่างของ

ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคล จะเห็นได้ว่าก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม อกุศลช่างมีกำลังที่จะ

แสดงออกมาทางกายทางวาจาต่างๆ กัน แสดงให้เห็นว่าถ้าโลกุตตรปัญญายังไม่เกิด

ยังไม่มีทางที่จะดับอกุศลใดๆ ได้เลย ทางกาย ทางวาจา ที่แสดงออกก็ยังต้องเป็น

ไปตามกำลังของอกุศลนั้นๆ แสดงให้เห็นว่า โลภะซึ่งเป็นความพอใจ ซึ่งเป็นอกุศล

ประเภทหนึ่ง เป็นสี่งที่มีกำลังมากแค่ไหน ท่านอุปมาว่าเหมือนกับต้นยางซึ่งชุ่มด้วยยาง เมื่อใดที่เอามีดกรีดลงไป เมื่อนั้นยางก็ย่อมไหลออก เพราะฉะนั้นเมื่อทางตา

ได้ประสบกับอารมณ์ ซึ่งเป็นที่พอใจ ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งได้เลยที่จะให้เกิดความ

พอใจ เหมือนกับโลภะซึ่งสะสมมาเต็ม เพราะฉะนั้นเมื่อได้อารมณ์ที่พอใจ ก็คือ

มีดที่กรีด ให้ความพอใจหลั่งไหลออกมาอย่างชุ่มโชกไม่สามารถที่จะระงับได้เลย - ข้อสำคัญที่สุดคือ ประการแรก ต้องเห็นว่า อกุศลน่ารังเกียจ เท่านั้นยังไม่พอ

ยังต้องมีความเพียรที่จะ ขัดเกลา มีความตั้งใจจริงๆ ที่จะเป็นกุศล ที่จะ ขัดเกลา ไม่ใช่ว่าเมื่อ ไม่ใช่เรา ก็ไม่เป็นไร

- วันหนึ่งๆ ทุกคนคิด แล้ว ก็ลองวิเคราะห์ความคิด ของท่านดูว่าท่านคิดเรื่องอะไร

มาก เรื่องโลภะมาก หรือว่าเรื่องโทสะมาก หรือว่าเรื่องกุศลมาก ถ้าคิดเรื่องปรมัต

ถธรรมมาก แล้วก็พิจารณาโดยละเอียด โดยแยบคาย เข้าใจขึ้น นั่นจะเป็นสัญญา

ความจำที่มั่นคงที่จะเป็นปทัฏฐาน คือเป็นเหตุใกล้ ที่จะให้สติเกิดระลึก ได้ เพราะว่า

กำลังปรากฏ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ ท่อง - จะเห็นได้ว่า หลายคน ฟังมานาน แต่ก็เหมือนเดิมเช่น เคยโกรธ ก็ยังโกรธอยู่ แต่

ก็ยังฟังพระธรรม.เมื่อสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จนกระทั่ง เข้าใจพระธรรม ขณะใด ขณะนั้น

ย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลง เช่น เห็นโทษของตัวเอง ที่โกรธบุคคลอื่น ไม่ใช่เห็นโทษ

ของคนอื่น ที่ทำให้เราโกรธ. อันนี้ ต่างกันแล้ว ใช่ไหมคะ.? อกุศลธรรมที่มีมาก ก็ต้อง

มีเหตุเพราะอกุศลจิตเกิดง่ายมาก และ ได้สะสมมามาก.ถ้าไม่มากจนกระทั่งล้น เช่น

ทันทีที่เห็น ก็เกิดอกุศลจิต นั้นจะเป็นไปได้ไหม.?เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตาม ที่เปลี่ยน

ไปจากเดิมก็เพราะ ความเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นเลย. ความเข้าใจพระ

ธรรม ที่มากพอที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิต เกิดแทนที่อกุศลจิต นี่คือประโยชน์ของความ

เข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ฟังด้วยความหวัง ว่า เมื่อไร สติปัฏฐานจะเกิดโดยที่ไม่เข้าใจ ว่า

เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง. ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บรรพต
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

เกิดมาแล้ว ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่สามารถจะมีความ

สุขที่แท้จริงได้เลย มีแต่จะไปแสวงหาความสุขกับสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วเท่านั้นเอง

- ข้อสำคัญที่สุดคือ ประการแรก ต้องเห็นว่า อกุศลน่ารังเกียจ เท่านั้นยังไม่พอ

ยังต้องมีความเพียรที่จะ ขัดเกลา มีความตั้งใจจริงๆ ที่จะเป็นกุศล ที่จะ ขัดเกลา ไม่ใช่ว่า เมื่อไม่ใช่เรา ก็ไม่เป็นไร

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pamali
วันที่ 25 ธ.ค. 2555
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 26 ธ.ค. 2555

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตทุกขณะ และทีละขณะด้วย

- วันหนึ่งๆ ทุกคนคิด แล้ว ก็ลองวิเคราะห์ความคิด ของท่านดูว่าท่านคิดเรื่องอะไร

มาก เรื่องโลภะมาก หรือว่าเรื่องโทสะมาก หรือว่าเรื่องกุศลมาก ถ้าคิดเรื่องปรมัต

ถธรรมมาก แล้วก็พิจารณาโดยละเอียด โดยแยบคาย เข้าใจขึ้น นั่นจะเป็นสัญญา

ความจำที่มั่นคงที่จะเป็นปทัฏฐาน คือเป็นเหตุใกล้ ที่จะให้สติเกิดระลึกได้ เพราะว่า

กำลังปรากฏ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ ท่อง

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม อย่างมาก

ที่แบ่งปันธรรม ที่มีประโยชน์อย่างมาก แก่การศึกษาโดยละเอียด...

ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 26 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
panasda
วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม และ ทุกๆ ท่านด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pepa
วันที่ 15 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ