เป็นพระโสดาบันบุคคล
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าหากผู้ไม่ได้ศึกษาหรือฟังอย่างพหูสูตเรื่องชาติของจิตแล้ว (หลังจากที่ได้ศึกษาปรมัตถ์ธรรมอย่างน้อย ๓ คือ เรื่องจิต เจตสิก รูป) มาแล้ว หากมีคนถามว่าขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคลอยู่ที่ไหน เขาจะตอบผู้ถามอย่างไร
เรื่องที่สองคิอเรื่องวิถีจิต หากมีคนถามว่าขณะที่ผิวหนังโดนไฟ ขณะนั้นจิตเกิดที่ไหน และหากถามต่อแล้วที่เขาแสบร้อนจนเกิดทุกข์ใจ จิตเกิดที่ไหน นี่ก็อีกอย่างที่คิดว่าผู้ไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดจะตอบไม่ได้
เรื่องที่สามคือเรื่องขันธ์
เรื่องที่สี่คือเรื่องปัจจัย
เรื่องที่ห้าคือฟังสนทนาธรรมของอาจารย์สุจินต์หลายๆ เที่ยว นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผม หรือท่านผู้รู้มีความคิดเช่นไร กรุณาแนะนำเพิ่มเติม ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับได้เป็นเพียงบางประเภท ยังไม่สามารถดับได้ทุกประการ เพราะผู้ที่จะดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นไม่มีเหลือนั้น คือ พระอรหันต์ การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาและต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายคือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วย ความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว การดับกิเลส การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
หากมีคนถามว่าขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคลอยู่ที่ไหน เขาจะตอบผู้ถามอย่างไร?
การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย จะให้ปัญญาเจริญขึ้นในทันทีทันใด ในเวลาอันรวดเร็วย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ ก่อนการศึกษาพระธรรม ไม่เคยคิดเลยว่า เห็นขณะนี้ เป็นธรรม เพราะเข้าใจว่าธรรมต้องหมายถึงเฉพาะส่วนที่ดีงามเท่านั้น เห็น เป็นธรรมได้อย่างไร นี้คือก่อนศึกษาพระธรรม พอเริ่มศึกษา ก็จะเข้าใจได้ว่าธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เห็น ก็เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้เห็นเกิดขึ้นได้ แต่เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง เกิดที่ตา แล้วก็ดับไป จิตไม่ได้เที่ยงแท้ยั่งยืนเลย เพียงเกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก
เรื่องที่สอง คิอ เรื่องวิถีจิต หากมีคนถามว่าขณะที่ผิวหนังโดนไฟ ขณะนั้นจิตเกิดที่ไหน
เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีเพียงจิตประเภทที่รับรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายเท่านั้น มีจิตประเภทอื่นๆ เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว มีเห็น มีได้ยิน มีกุศลจิต อกุศลจิต เกิดขึ้น เป็นต้น ซึ่งจิตจะไม่เกิดพร้อมกันหลายๆ ขณะ ต้องเกิดขึ้นทีละขณะ เป็นลำดับด้วยดี ไม่ปะปนกัน ซึ่งจิตที่เกิดทีละขณะๆ นั้น ก็มีที่เกิดของตนๆ กล่าวคือ หากถามต่อแล้วที่เขาแสบร้อนจนเกิดทุกข์ใจ จิตเกิดที่ไหน อย่างที่ได้เรียนตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เกิดความแสบร้อนเจ็บปวด ขณะนั้น จิตเกิดที่กายปสาทะ แล้วรับผลของอกุศลกรรมก็ดับไป แล้วก็มีจิตขณะอื่นเกิดสืบต่อ ขณะที่เกิดความเดือดร้อนใจ ไม่สบายใจ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้น อกุศลจิต เกิดที่หทยวัตถุ ซึ่งจะต้องศึกษาในรายละเอียดของที่เกิดของจิตเพิ่มเติมด้วย
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
เรื่องที่สาม คือ เรื่องขันธ์ เรื่องที่สี่ คือ เรื่องปัจจัย เรื่องที่ห้าคือ ฟังสนทนาธรรมของอาจารย์สุจินต์หลายๆ เที่ยว
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป นี้คือ ความเป็นขันธ์ เพราะเป็นธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า เกิดแล้วดับแล้วไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีขันธ์แม้แต่อย่างเดียวที่เที่ยงยั่งยืน เพราะเกิดแล้วก็ต้องดับไป ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม สำหรับในส่วนของปัจจัยนั้น ถ้าได้ฟัง ได้ศึกษาบ่อยๆ ก็จะเข้าใจได้ว่า ปัจจัย ก็คือ สิ่งที่สภาพธรรมอาศัยเกิดขึ้นเป็นไป สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้นแต่ละอย่างๆ อาศัยปัจจัยหลายอย่าง แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิด เพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น อย่างเช่น เห็นในขณะนี้เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีสี เป็นอารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีที่เกิดของจิตเห็น เป็นต้น ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ฟังจากบุคคลผู้มีปัญญาที่เข้าใจตรงตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากคำถามที่ว่า ในยุคนี้ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล โดยไม่ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด จะมีหรือไม่
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่อบรมปัญญาจนบรรลุคุณธรรมดับกิเลสได้บางส่วน ถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน จะต้องอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอย่างยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน และมีการเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา มากมายเช่นกัน เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องเข้าใจคำว่า การศึกษาพระธรรมโดยละเอียดและถูกต้อง คืออย่างไร และ ศึกษาพระธรรมอย่างไร จึงจะถึงความเป็นพระโสดาบัน
ในสมัยพุทธกาล มีบุคคลที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันมากมาย คำถามจึงมีว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้เป็นพระโสดาบันสามารถอธิบายจิต เจตสิก วิถีจิต ปัจจัยต่างๆ ๒๔ ปัจจัย ที่เป็นพระอภิธรรมได้หรือไม่
คำตอบ คือ แล้วแต่การสะสม ความเป็นผู้ศึกษาชื่อของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น พระโสดาบันแต่ละท่าน ไม่ได้จำเป็นจะต้องศึกษาความละเอียดของชื่อธรรม แต่ที่ท่านเป็นพระโสดาบัน และรู้อภิธรรม คือ รู้จักตัวอภิธรรม คือสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะสภาพธรรม แม้ไม่ใส่ชื่อก็มีธรรม คือ มีลักษณะให้รู้ เพราะฉะนั้น แม้พระโสดาบัน ไม่ได้รู้ชื่อโดยละเอียด คือไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดในเรื่องชื่อ แต่ท่านก็เข้าใจโดยละเอียดในลักษณะของธรรม ละเอียดอย่างไร ละเอียดด้วยการเข้าถึงตัวลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ
เพราะฉะนั้น การศึกษาโดยละเอียดจริงๆ คือ การเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ที่ปัญญากำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม ชื่อว่า การศึกษาโดยละเอียด ส่วนการรู้ชื่อโดยละเอียด รู้ว่า จิตมีเท่าไหร่ มีวิถีจิตอะไรบ้าง แต่ไม่มีความเข้าใจพื้นฐานว่า ที่ศึกษาอยู่ ก็คือ สภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ และจุดประสงค์ คือ ศึกษาเพื่อเข้าใจตัวจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แม้จะจำชื่อได้หมดโดยละเอียด แต่ก็ชื่อว่า เป็นการศึกษาไม่ละเอียด และ ไม่เป็นเหตุให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เพราะอาศัยการจำชื่อ แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แม้ในขั้นการฟัง ก็ย่อมไม่เป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ตัวธรรมที่สมมติเรียกว่า โลภมูลจิต เป็นต้น หรือวิถีจิต เมื่อไม่เกิดสติปัฏฐาน ก็ไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่พระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน ศึกษาพระธรรม โดยความละเอียด ละเอียดเพราะมีความเข้าใจพื้นฐานเป็นสำคัญ ว่า ชื่อที่ท่านได้ฟัง ได้เรียนนั้น ก็เป็นธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ และไม่ใช่เราด้วย การเข้าใจถูกในขั้นการฟัง ว่าไม่ใช่เรา มีแต่ธรรม ที่พระองค์ทรงบัญญัติชื่อต่างๆ ก็จะทำให้ไม่มุ่งศึกษาให้ละเอียดโดยชื่อ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจตัวจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา การศึกษาเช่นนี้ พร้อมความเข้าใจขั้นการฟังว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ชื่อว่าศึกษาโดยละเอียด เพราะจะนำไปสู่ปัญญาที่เข้าใจตัวจริง อันเป็นการศึกษาในสภาพธรรมอย่างละเอียดจริงๆ ที่ลงไปถึงตัวลักษณะ ครับ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบัน สมัยปัจจุบัน สมัยไหนก็ตาม ท่านก็ต้องเข้าใจถึงตัวสภาพธรรมที่กำลังปรากฎว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา แทงตลอดตามความเป็นจริง อันเป็นการศึกษาโดยละเอียด โดยมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจขั้นการฟัง ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา การศึกษาโดยละเอียดในชื่อ จำได้หมด แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่การศึกษาโดยละเอียด เพราะไม่ทำให้ถึง ตัวธรรม ที่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งในลักษณะที่รู้ได้ยาก ครับ
หากมีคนถามว่าขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคลอยู่ที่ไหน เขาจะตอบผู้ถามอย่างไร?
จากคำถามนี้ ผู้ถามหมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เมื่อได้ยินคำถามนี้ เขาจะตอบอย่างไร
สำหรับผู้ที่เข้าใจพระธรรมโดยไม่ละเอียด ย่อมไม่เข้าใจว่า อภิธรรม ก็คือ สิ่งที่มี กำลังมี ในชีวิตประจำวัน เป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อถามว่า เห็นไม่ใช่สัตว์ บุคคล ย่อมไม่เข้าใจ เพราะ สิ่งที่เขากำลังเห็น ก็คือ สัตว์ บุคคล เป็นเรา เป็นเขาอยู่ แต่ถ้าเป็นผู้ศึกษาธรรมโดยะเอียด คือ ไม่ใช่การจำชื่อเรื่องราวของสภาพธรรม แต่มีความเข้าใจขั้นการฟัง ว่ามีแต่ธรรมไม่ใช่เรา แม้ยังไม่ใช่ประจักษ์สภาพธรรมที่เห็นว่า เป็นธรรม ก็ย่อมเข้าใจถูก และ สามารถบอกอธิบายตอบได้ว่า แม้เห็น ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล สิ่งที่กำลังเห็นก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่ที่มีสัตว์ บุคคล เพราะเมื่อเห็นแล้วก็คิดนึกถึงรูปร่าง สีที่เห็น ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด และ ก็ทรงจำตามสัญญาที่ได้เคยจำไว้ จึงรู้ว่าเป็นใคร คือ มีการคิดอีกมาก มายหลังจากเพียงเห็น และ เพราะความไม่รู้จึงยืดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ครับ
เรื่องที่สองคือเรื่องวิถีจิตหากมีคนถามว่าขณะที่ผิวหนังโดนไฟ ขณะนั้นจิตเกิดที่ไหน
สำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรมโดยไม่ละเอียด ในที่นี้ คือ ศึกษาแต่ชื่อเรื่องราวมากๆ โดยไม่มีความเข้าใจพื้นฐานว่า สิ่งที่ศึกษาเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และ รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม เมื่อถามว่าจิตอยู่ไหนในขณะนี้ ก็ย่อมไม่รู้จิตจริงๆ เพียงแต่คิดว่า มีจิตที่เที่ยงคงที่ ที่กำลังคิดนึก เพราะไม่เข้าใจว่า จิตเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ขณะที่มีการรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่า จะเป็นการรู้สึกเจ็บ ขณะที่โดนไฟที่ผิวหนัง ความรู้สึกเจ็บที่กระทบกายมีจริง ขณะนั้น เป็นจิตที่เกิดขึ้นและก็ดับไป แต่จิตเกิดขึ้นก็จะต้องมีที่เกิด ก็เกิดที่กายปสาทะ ส่วนความรู้สึกทุกข์ใจ หลังจากที่โดนไฟ ก็เป็นจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้น ที่เป็นโทสมูลจิต ซึ่งเป็นจิตคนละดวง และเป็นจิตใหม่ที่เกิดขึ้นที่หทยรูป ไม่ใช่กายปสาทรูปแล้ว ครับ
เรื่องที่สามคือเรื่องขันธ์ เรื่องที่สี่คือเรื่องปัจจัย เรื่องที่ห้าคือฟังสนทนาธรรมของอาจารย์สุจินต์หลายๆ เที่ยว
ไม่ว่าจะใช้ชื่อ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท ก็เป็นการแสดงถึงสภาพธรรมที่เหมือนกัน คือ นามธรรม รูปธรรม ที่แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่มีลักษณะ และสามารถที่จะรู้ได้ด้วยปัญญา ที่ความเป็นจริงเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา หรือ ศึกษาไม่ละเอียด ที่ศึกษาแบบจำชื่อมากๆ จำได้หมด แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ย่อมสำคัญ ขันธ์ ปัจจัย ว่าเป็นเพียงเรื่องราว และไม่รู้จักขันธ์ตามความเป็นจริง และ ย่อมสำคัญ ยึดถือว่าขันธ์ เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาศัยการฟังพระธรรมที่ถูกต้องที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ ที่ท่านพยายามอธิบายให้เข้าใจเสมอว่า สิ่งที่ศึกษานั้น ก็คือ ขณะนี้ และ ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธรรม การฟังบ่อยๆ ย่อมเป็นสัญญาที่มั่นคง คือ สัญญาที่ไม่ใช่การจำชื่อมากๆ จำวิถีจิต แต่เป็นสัญญาที่เมื่อได้ศึกษาชื่อ เกิดปัญญา พร้อมความจำ ที่จำถูกว่าขณะนี้เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา การฟังบ่อยๆ เป็นสัญญาที่เกิดพร้อมปัญญาบ่อยๆ ย่อมทำให้เกิดการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ และย่อมทำให้ถึงการบรรลุคุณธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบันได้ในอนาคต ครับ
เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด คือ เข้าใจให้ถูกต้องว่า การศึกษาที่ถูกต้อง และการศึกษาโดยละเอียดเป็นอย่างไร ตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะทำให้ดำเนินหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา