รักษาศีลได้อย่างบริสุทธ์บริบูรณ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ผู้ซึ่งไม่ล่วงศีล ๕ อีกเลย ในชีวิตปัจจุบันสำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน ยังมีกิเลสอย่างหยาบซึ่งไม่พ้นไปจาก โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม ย่อมกระทำทุจริตกรรมล่วงศีลได้ ทุจริตกรรมทั้งหลายล้วนเกิดจากการติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ใน ความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลทั้งสิ้น จึงควรที่จะศึกษาพระธรรม เห็นโทษของอกุศล พร้อมทั้งอบรมเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่ควรล่วงศีล เพราะการล่วงศีล นำมาซึ่งโทษประการต่างๆ และยังเป็นปัจจัยให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทกำลังของกิเลส ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและย่อมมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีตัวตนที่จะพยายามรักษาศีล แต่การจะรักษาศีลได้ดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับสภาพธรรมฝ่ายดีคือปัญญา เมื่อมีปัญญามากขึ้น ไม่ต้องมีตัวตนที่จะไปพยายามรักษา แต่ว่าธรรมฝ่ายดีทำหน้าที่รักษากาย วาจา ให้เป็นไปในทางที่ดี คล้อยตามกำลังของปัญญาที่เจริญขึ้นจากการฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมตรงตามความเป็นจริงครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโสดาบัน คือ บุคคลที่บรรลุคุณธรรมด้วยปัญญา จนถึงความเป็นพระอริยเจ้า ซึ่งคุณสมบัติของความเป็นพระโสดาบัน คือ เป็นผู้มีศรัทธา มั่นคงไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีศีล ๕ ไม่ขาด เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผลมาจากการถึงความเป็นพระโสดาบัน ศีลบริสุทธิ์จึงเป็นผล แต่การจะถึงความเป็นพระโสดาบัน จะต้องอบรมเหตุ เหตุให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่การจะทำให้ศีลบริสุทธิ์ก่อน แต่เหตุให้ถึงการเป็นพระโสดาบัน ต้องด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งสติปัฏฐานจะเกิด รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็จะต้องเริ่มจากเหตุเบื้องต้น คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ปัญญาที่เริ่มจากการฟังเป็นเบื้องต้น จะเป็นเหตุให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ไม่มีทางที่ศีลจะบริสุทธิ์ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็ล่วงศีลได้ เป็นธรรมดา แต่แม้จะล่วงศีลในชีวิตประจำวัน แต่ก็สามารถอบรมปัญญา สะสมต่อไป จนสุดท้ายก็สามารถถึงความเป็นพระโสดาบันได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ครับ
ที่สำคัญ ศีลจะบริสุทธิ์ได้เพราะมีปัญญา เพราะฉะนั้นหากไม่มีปัญญา จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ศีลบริสุทธิ์ได้ ดังนั้น แทนที่จะทำศีลให้บริสุทธิ์อย่างไรในชีวิตประจำวัน ก็มาอบรมเหตุ คือ อบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน ปัญญาที่เจริญขึ้น ศีลก็ดีขึ้นตามปัญญา และ ศีลจะบริสุทธิ์ เมื่อถึงความเป็นพระโสดาบัน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ที่สำคัญ ศีลจะบริสุทธิ์ได้ เพราะ มีปัญญา เพราะฉะนั้น หากไม่มีปัญญา จะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้ศีลบริสุทธิ์ได้ ดังนั้น แทนที่จะทำศีลให้บริสุทธิ์อย่างไรในชีวิตประจำวัน ก็มาอบรมเหตุ คือ อบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน ปัญญาที่เจริญขึ้น ศีลก็ดีขึ้นตามปัญญา และ ศีลจะบริสุทธิ์ เมื่อถึงความเป็นพระโสดาบัน ครับ"
ขอบคุณมากครับกับคำอธิบายที่ท่านกล่าวมา ที่นี้ผมก็ศึกษาทั้งจากการฟัง การอ่าน การถาม ก็จะมาสรุปตรงกันคือ ต้องมีปัญญา แล้วปัญญานี่ มันคืออะไร อย่างไรถึงเรียกว่าปัญญาครับ ยกตัวอย่างจากการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเรานี่แหละครับ เราจะทำอย่างไรกับศีลในแต่ละข้อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ครับผม ผมอยากมีปัญญา อย่างว่าน่ะครับ ถ้าคำถามเป็นคำถามแบบโง่ๆ ทำให้หงุดหงิด ขัดเคืองประการใด ผมก็ขออภัยด้วยนะครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นความเห็นถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งมีหลายระดับ ทั้งระดับต้น ที่เชื่อกรรมและผลของกรรม ก็เป็นปัญญา ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตน ครับ
ส่วนปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แต่ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นทีละน้อย ซึ่งศีลจะค่อยๆ บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา หมายถึง อาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม จะทำให้คิดถูกต้อง คือ คิดถูกที่จะเห็นโทษของการล่วงศีล แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นปุถุชน ก็ยังล่วงศีลได้ แม้แต่หลานท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีในชาตินั้น ก่อนเป็นพระโสดาบัน ก็ผิดศีลข้อ ๓ เป็นประจำ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แสดงถึงว่า การอบรมปัญญา แม้ล่วงศีลก็สามารถบรรลุธรรมได้ ดังนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องศีลจะบริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ เพราะการอบรมปัญญา คือ การเจริญสติปัฏฐาน มีศีลด้วย สมาธิและปัญญา จึงสามารถบรรลุธรรม แม้ในชาตินั้นมีการล่วงศีล ๕ ครับ ด้วยอำนาจความเป็นปุถุชน อย่างไรก็ดี อาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ ปัญญาที่เจริญขึ้น กาย วาจา และศีล ก็ดีขึ้นตามลำดับด้วย ครับ
ขออนุโมทนา
เป็นกำลังให้ในการศึกษาพระธรรม
ขอบคุณครับ คุณ paderm
ถามต่อนะครับ แล้วในแต่ละวันนี่คุณ paderm มีวิธีการอย่างไรครับใน การปฏิบัติเกี่ยวกับศีลครับผม คือ มีการคิด อบรมปัญญาอย่างไรบ้างครับ ในการประพฤติหรือปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ครับ
ขอบคุณ คุณ khampan.a ด้วยนะครับ
และขอถามประเด็นเดียวกันกับคุณ paderm นะครับ แล้วในแต่ละวันนี่ คุณ khampan.a มีวิธีการอย่างไรครับในการปฏิบัติเกี่ยวกับศีลครับผม คือ มีการคิด อบรมปัญญาอย่างไรบ้างครับ ในการประพฤติหรือ ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียนความคิดเห็นที่ 11 ครับ
อกุศลยังมีอยู่มาก เกิดขึ้นเป็นไปมากในชีวิตประจำวัน และปัญญาก็ยังน้อยมาก เพราะฉะนั้น ก็จะมีความเพียร มีความจริงใจ ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ต่อไป น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ครับผม ตามที่คุณ khampan.a เขียนมานี้ก็เป็นแนวทางที่ดีครับ แต่ผมก็ยัง สงสัยครับที่ว่า "น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน" นี่ ต้องมีธรรมอะไร ข้อไหน อย่างไรบ้างครับ
ขอบพระคุณที่เมตตาตอบคำถาม ครับผม
มีศรัทธา มีศีล มีการฟังธรรม มีจาคะ คือการสละกิเลส มีปัญญาพิจารณาธรรม ค่ะ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
สำหรับส่วนตัวนั้น ก็อาศัยการฟัง ศึกษาพระธรรม ก็จะมีการคิดตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว เป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกๆ ประการ นึกถึงชีวิตที่เหลือน้อย และ สาระของชีวิตว่า ควรสะสมอะไร ไม่ควรสะสมอะไร คือ สะสมความดี และมีเวลาที่จะเหลือทำความดีน้อยแล้ว คิดพิจารณาอย่างนี้ และเห็นโทษของอกุศลที่ควรละ กาย วาจาก็จะค่อยๆ ดีขึ้น นั่นคือ ศีลก็ค่อยๆ ดีขึ้น ตามกำลังของปัญญาที่เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ธรรมจะทำหน้าที่ปรุงแต่งให้เป็นไปเอง โดยไม่มีเราไปจัดการ สำคัญที่อบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ถ้ายิ่งหวังก็ยิ่งไกล เพราะ ความหวังอยากจะเป็นคนดี อยากจะเกิดกุศล และอยากจะเข้าใจ อยากจะถึงการบรรลุ ทั้งหมดเป็นโลภะ และเป็นเครื่องกั้นของการเจริญปัญญาทั้งสิ้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ คุณ paderm มากครับผม จากที่ผมเคยอ่านในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับการถึงพระรัตนตรัยครับ (สูตรไหนเล่มไหนผมก็จำไม่ได้) ที่ว่าตลอดชีวิตไม่เคยทำบุญกุศลเลย แต่พอใกล้จะตาย ก็มีพระไปโปรด แล้วให้นึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และกำลังจะให้ศีลเขาก็ตายก่อน แต่ด้วยในขณะนั้นเขาระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยอยู่ เลยได้ไปเกิดเป็นเทวดา ไม่ได้ลงนรก (เรื่องราวก็ประมาณนี้ครับ)
พระรัตนตรัยที่ว่านั้น เป็นยังไงหรือครับ แล้วคุณ paderm ระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยยังไงหรือครับ
เรียนความเห็นที่ 16 ครับ
พระรัตนตรัย ในพระสูตรนั้น หมายถึง พระคุณของพระรัตนตรัยตามความเป็นจริง ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นอย่างไร ดังนั้น ก็เป็นการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะ มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น เกิดจากความเข้าใจถูกในพระธรรมและในแนวทางที่ถูกต้องครับ หากว่าเข้าใจพระธรรมผิดแล้ว ก็เป็นแต่เพียงถึงพระรัตนตรัยเพียงแต่คำพูดเท่านั้น เพราะเมื่อเข้าใจพระธรรมหรือในแนวทางที่ผิด ก็ถึงพระธรรมในทางผิดเป็นที่พึ่ง และไม่เข้าใจถูกว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพื่อปฏิบัติผิด และไม่เข้าใจสังฆรัตนเป็นที่พึ่ง คือพึ่งผิดเพราะเข้าใจในสังฆรัตนผิดครับ เช่น พระคุณของสังฆรัตน คือ เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว แต่ถ้าเข้า ใจการประพฤติปฏิบัติผิด ก็เข้าใจพระคุณของสังฆรัตนผิดด้วยครับ ดังนั้น การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น เกิดจากความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง จึงถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งโดยถูกต้องด้วยครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ที่บุคคลที่ฟังธรรมเข้าใจจากพระพุทธเจ้า และจึงกล่าวว่า ขอถึงพระพุทธพระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อันเกิดจากความเข้าใจถูกในแนวทางการอบรมปัญญา อันเป็นเพราะฟังพระธรรมที่ถูกต้องนั่นเองครับ
ถึงรัตนตรัยเป็นสรณะ [เทศนาสูตร]
ซึ่งในชีวิตประจำวันของกระผม ก็อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ทำให้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ไม่ประการใด ประการหนึ่ง ยิ่งได้ฟัง ได้อ่านเข้าใจพระธรรมมากเท่าไหร่ จิตก็น้อมไป ตามพระคุณองพระรัตนตรัยมากขึ้นเท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ คุณ paderm ครับ
ที่ว่า "การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ทำให้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ไม่ประการใด ประการหนึ่ง ยิ่งได้ฟัง ได้อ่าน เข้าใจพระธรรมมากเท่าไหร่ จิตก็น้อมไป ตามพระคุณองพระรัตนตรัยมากขึ้นเท่านั้น"
แล้ว คุณ paderm น้อมยังไงครับ คือ รู้ เห็น อะไร ยังไงบ้างครับ ขอความเมตตาตอบด้วยครับ
เรียนความเห็นที่ 19 ครับ
น้อม คือ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น น้อมไปในพระคุณของพระรัตนตรัย ตามความเป็นจริง เช่น ในขณะที่ฟังธรรม ก็น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง ที่ทรงแสดงธรรมด้วยพระปัญญาที่ตรัสรู้สภาพธรรม และ ทรงมีปัญญาเลิศกว่าหมู่สัตว์ทั้งหลาย อันเป็นการน้อมระลึกถึงพระปัญญาคุณรวมทั้ง บางคราวก็เกิดความปิติ ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ว่าพระธรรมเป็นธรรมที่สามารถค่อยๆ ละกิเลสได้จริง และ นำมาซึ่งปัญญา ซึ่งผู้ที่เข้าใจด้วยตนเอง ย่อมจะรู้ได้ หากมีความสนใจตั้ง ใจ และเคารพในการฟัง ที่เป็นพระธรรมคุณ เป็นต้น ครับ ซึ่งก็คงไม่เจาะจง ว่าใครจะระลึกอย่างไร แล้วแต่ว่า ใครจะน้อมระลึกอย่างไรในพระคุณของพระรัตนตรัย ตามแต่การสะสม ตามแต่ความเข้าใจที่สะสมมาในอดีต ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ คุณ paderm ครับ
ที่ว่า "น้อมไปในพระคุณของพระรัตนตรัย ตามความเป็นจริง" มันคืออะไร ยังไงครับผม
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาหรือตอบข้อสงสัยครับผม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ 13 ครับ
ง่าย สบาย ไม่ลำบาก ไม่ต้องไปแบกหาม ไม่ต้องขุดดิน คือ การฟังพระธรรม แต่ที่ยาก คือความลึกซึ้งของพระธรรม ถึงแม้ว่าจะยากอย่างไร ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ ตั้งใจศึกษาธรรมเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าไม่เริ่มฟัง วันที่เข้าใจก็จะมีไม่ได้.
อ้างอิงจาก
ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงเท่านั้นเอง
การน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวันนั้น ไม่มีตัวตนที่จะน้อมไป แต่เป็นการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นไป น้อมไปในกุศลธรรมทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อยังกุศลทั้งหลายให้เกิดขึ้นเป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของทาน การให้ การช่วยเหลื่อเกื้อกูลผู้อื่่น ศีล วิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ และการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเมื่อใด ก็ไม่ละเว้นโอกาสอันมีค่านั้น ที่จะได้ฟังความจริง ซึ่งเป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบคุณ คุณ khampan.a นะครับที่ร่วมสนทนาธรรม ชี้แนะแนวทางให้ครับ แล้วที่ว่า "ง่าย สบาย ไม่ลำบาก ไม่ต้องไปแบกหาม ไม่ต้องขุดดิน คือ การฟังพระธรรม" และการปฏิบัติตนในแต่ละวัน แต่ละขณะนี่ คุณ khampan.a ทำยังไงครับผม
เรียนความเห็นที่ 21 ครับ
น้อมไปในพระคุณของพระรัตนตรัยตามความเป็นจริง คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้น น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยตามความเป็นจริง คือ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างถูกต้อง ว่าพระ พุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณอย่างไร ครับ
ขอบคุณครับ
แล้ว "พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณอย่างไร" ในความรู้ความเห็นของคุณpaderm ครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ ถ้าคำถามของผมอาจจะดูงี่เง่า แต่เจตนาของผมคือ อยากศึกษาอยากเรียนรู้ จากญาติธรรมแค่นั้นครับ
เรียนความเห็นที่ 25 ครับ
พระพุทธเจ้า มีพระคุณ เพราะ ทรงมีคุณด้วยพระปัญญาคุณที่ตรัสรู้สภาพธรรมในขณะนี้ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ทรงมีพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์ และ บำเพ็ญบารมี สละชีวิต เลือดเนื้อ สิ่งที่เป็นที่รัก นับชาติไม่ถ้วน เพื่อประโยชน์กับสัตว์โลก และ ทรงดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว แม้อกุศลเพียงเท่าปลายขนทรายก็ไม่มี จึงทางถึงพร้อมด้วยพระบริสุทธิคุณ ครับ
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้ที่ศึกษาด้วยความเข้าใจถูก ย่อมเกิดปัญญา และละกิเลสได้จริง ตามที่พระพุทธเข้าทรงแสดง และ ไม่มีสักคำเดียวที่ไม่เป็นประโยชน์และมีโทษ แต่นำมาซึ่งประโยชน์ คือ ละคลายกิเลส เจริญขึ้นของกุศลธรรม และ ปัญญา ครับ
พระสงฆ์ คือ พระอริยบุคคลที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้ที่ควรเคารพสักการะ เพราะ ถึงพร้อมด้วยคุณประการต่างๆ เป็นต้น
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ ญาติธรรมทุกท่านนะครับที่ช่วยเหลือและตอบคำถามครับ รู้สึกว่า กระทู้มันจะยาวเกินไปแล้ว ผมขอเริ่มกระทู้ใหม่นะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียนความคิดเห็นที่ 23 ครับ
ไม่มีตัวตนที่ไปทำอะไร แต่เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไป ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และอะไรที่เป็นสิ่งที่ดี ที่สามารถจะกระทำได้ แม้เล็กๆ น้อยๆ ก็ทำ แต่ส่วนใหญ่แล้ว อกุศลจิตก็เกิดขึ้นเป็นไปมาก เป็นไปทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ กุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้นที่จะขัดเกลาละคลายกิเลสอกุศลในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...