เรียนถามเรื่องภูมิอื่นๆของมนุษย์
เรียนถามว่านอกจากชมพูทวีปแล้ว ภูมิอื่นๆ มีลักษณะชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ผู้คนมีการฟังธรรม ปฏิบัติธรรมบ้างหรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มนุษย์มี ๔ จำพวก คือ
พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป
มนุษย์ชาวอมรโคยาน
มนุษย์ชาวอุตตรกุรุ
มนุษย์ชาวปุพพวิเทหะ
สำหรับมนุษย์ในทวีปอื่นๆ ที่ไม่ใช่โลกนี้ ที่เป็นชมพูทวีป ไม่ได้มีโอกาสฟังธรรม อบรมปัญญา ดังเช่น ชมพูทวีป แต่มนุษย์โลกอื่น ก็มีความสุขตามควรแก่ฐานะที่เกิด อย่างเช่น มนุษย์ อุตตรกุรุทวีป
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 130
อุตตรกุรุทวีป เป็นรมณียสถาน มีภูเขาหลวงชื่อ สิเนรุ แลดูงดงาม ตั้งอยู่ทิศใด พวกมนุษย์ซึ่งเกิดในอุตตรกุรุทวีปนั้น ไม่ยึดถือสิ่งใดว่าเป็นของตน ไม่หวงแหนกัน มนุษย์เหล่านั้นไม่ต้องหว่านพืช และไม่ต้องนำไถออกไถ หมู่มนุษย์บริโภคข้าวสาลีอันผลิตผลในที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม เป็นเมล็ดข้าวสารหุงในเตาอันปราศจากควัน แล้วบริโภคโภชนะแต่ที่นั้น.
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไปบิณฑบาตในโลกอื่น ทวีปอื่น มีอุตตรกุรุทวีป แต่ไม่ได้กล่าวไว้ว่า มีการแสดงธรรม สนทนาธรรม ซึ่งในพระสูตรอื่นแสดงว่า ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่า ชาวอุตตรกุรุทวีป ตรงที่ สามารถอบรมปัญญา ในพระพุทธศาสนาได้ ครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 790
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
อรรถกถาฐานสูตร
บทว่า อิธ พฺรหฺมจริยวาโส ความว่า แม้การอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์แปด (อริยมรรค มีองค์ ๘) ย่อมมีในที่นี้เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในชมพูทวีป
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด
ซึ่งในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน สัตว์ทั้งหลายก็เคยเกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละทวีปมาหมดแล้วและ ก็ยังจะต้องไปเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน นับว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสเกิดในชมพูทวีป ที่เป็นทวีปที่พระพุทธเจ้าและพระอริยะทั้งหลายบังเกิดขึ้น สามารถอบรมปัญญาในทวีปนี้ได้ จึงควรใส่ใจ ใช้เวลาที่เหลือน้อย และมีค่า เป็นไปในการอบรมปัญญา เพื่อสะสมคุณความดี และ ปัญญาต่อไปในภพหน้า อันจะเป็นที่พึ่งของชีวิตอย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะนี้ได้เกิดในโลกนี้ ชาตินี้แล้ว ควรที่จะได้พิจารณาว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้แสนยาก เพราะจะต้องได้ด้วยผลของกุศล ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นผลของกุศลประเภทใด ขึ้นอยู่กับว่ากุศลประเภทใดจะให้ผล ซึ่งไม่พ้นไปจากความดีในชีวิตประจำวัน ทั้งทาน ศีลและการอบรมเจริญปัญญา [ซึ่งต้องไม่ใช่ผลของฌานขั้นต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะผลของฌานขั้นต่างๆ ทำให้เกิดในพรหมโลก ตามระดับขั้นของฌาน] ถ้าเทียบกันระหว่างสุคติภูมิกับอบายภูมิแล้ว การไปเกิดในอบายภูมิ ไปได้ง่ายกว่าสุคติภูมิจริงๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเปรียบเทียบไว้ด้วยข้ออุปมา ฝุ่นที่ปลายพระนขา (เล็บ) ที่พระองค์ทรงช้อนขึ้นมา กับฝุ่นที่ผืนแผ่นดิน ว่า ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นส่วนน้อย เหมือนกับฝุ่นที่อยู่ปลายพระนขาของพระองค์ ส่วนผู้ที่ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีมาก เหมือนกับฝุ่นที่ผืนแผ่นดิน
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็จะเป็นผู้ไม่รู้ต่อไป ไม่คุ้มค่าเลยกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ยากแสนยากแต่ไม่ได้สะสมปัญญา ก็จะทำให้ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ และจะไม่รู้อีกต่อไปนานแสนนาน ในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะพ้นไปได้ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ได้สะสมความดี และสะสมปัญญา ย่อมเป็นชีวิตที่คุ้มค่า คุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่มีอวัยวะครบถ้วน [พร้อมที่จะรองรับพระธรรม] และได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมซึ่งหาฟังได้ยากเป็นอย่างยิ่ง จาก บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงต่อไป เวลาของแต่ละบุคคลเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษาตั้งแต่ในขณะนี้ การที่จะฟัง การที่จะศึกษาในขณะต่อๆ ไป ก็จะมีไม่ได้,เริ่มต้นตั้งแต่ในขณะนี้ เป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...