ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๗๘

 
khampan.a
วันที่  17 ก.พ. 2556
หมายเลข  22501
อ่าน  1,679

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๘]

--- สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ เริ่มเข้าใจจากการฟัง ถ้าไม่มีปัญญาขั้นฟัง ปัญญาที่จะรู้ ลักษณะจริงของสภาพธรรมนั้น ก็ไม่มีแน่นอน และถ้าปัญญาไม่เริ่มรู้ลักษณะของสภาพ ธรรม ที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ การอบรมเจริญ ปัญญาไม่ใช่เรา แต่เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้น

--- การศึกษาธรรม คือ ให้ผู้ที่ได้สดับได้ฟัง เกิดปัญญาของตนเอง พิจารณา ไตร่ตรองเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมี ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่น หรือหวังอย่างอื่น หรือ โดยไม่รู้อะไรเลย ก็จะไปเป็นพระอริยบุคคล ซึ่งความจริงที่กล่าวย้ำอยู่เสมอ ก็คือ หนทางของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางเดียว คือ ละ ได้แก่ ละสิ่งที่ไม่ดี

ละความติดข้อง และ อกุศลทั้งหลาย

--- การฟังธรรม คือ เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความติดข้อง เพื่อละความเห็นผิด เพื่อ ละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเป็นตัวตน เป็นหนทางที่ละเอียด และเป็นหนทางที่ต้องอดทน แต่ว่าเป็นความรู้ของแต่ละคนจริงๆ ซึ่งถ้าพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงหนทางนี้ หนทางผิดมีเยอะ ง่ายด้วย และไม่ใช่คำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เพราะไม่รู้ จึงได้เข้าใจผิด หรือเพราะ ประมาท หรือเพราะคิดว่า การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เป็นไปได้ด้วยความเป็น เรา ไม่ใช่ด้วยปัญญา นั่นคือ ผิดแล้ว

ถ้าปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาไม่ได้นำโทษใดๆ มาให้เลย ทางของปัญญา

เป็นทางที่ทำให้กุศลทั้งหลายเจริญ

ธรรมไม่ใช่เรื่องวันเดียว ไม่ใช่เรื่องครึ่งวัน แต่เป็นเรื่องตลอดชีวิต ถ้าเห็น

ประโยชน์ จะเห็นว่าขาดธรรมไม่ได้ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าสิ่งอื่นจะเกิดขึ้นและหมดไป

แต่ความรู้ความเข้าใจซึ่งเริ่มเกิดขึ้น และมีความสนใจที่จะรู้ต่อไป จะเจริญขึ้น

ฟังพระธรรม เป็นแนวทางให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก

ประมาทอกุศลไม่ได้ ถ้าประมาทเพียงนิดเดียว พลาดเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้

ตกลงไปในเหวลึก คือ เหวของอวิชชา และความติดข้อง

มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ควรที่จะได้ฟังโดยตลอด ฟังต่อไป

พระธรรม แต่ละคำ ส่องให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังกำลังปรากฏในขณะนี้

ประสบภัยภายนอก ก็เพราะมาจากภัยภายในคือกิเลส

การแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ใช่แก้ด้วยอย่างอื่น แต่แก้ด้วยสภาพของจิตซึ่งได้

ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจ ซึ่งทำให้การคิดและการกระทำ ถูกต้องยิ่งขึ้น

ธรรมประการหนึ่งที่เป็นไปเพื่อระงับความอาฆาต คือ ไม่ใส่ใจถึงความประพฤติ

ส่วนที่ไม่ดีของบุคคลนั้น เพราะเหตุว่าย่อมมีส่วนอื่นดี ก็ควรที่จะให้อภัย และระลึกถึง

แต่สภาพธรรมซึ่งเป็นฝ่ายกุศล ที่จะไม่ทำให้เกิดอกุศลจิต

ควรจะอนุโมทนาในส่วนของความศรัทธา ความเลื่อมใสในการศึกษาธรรม ซึ่งวัน

หนึ่งเมื่อบุคคลนั้นศึกษาธรรมเข้าใจแล้ว ก็คงจะประพฤติธรรมยิ่งขึ้น ขัดเกลากิเลส

ของตนเองยิ่งขึ้น แต่ว่าตราบใดที่ปัญญายังไม่พอที่จะดับกิเลส กายก็ยังคงไม่บริสุทธิ์

วาจาก็คงไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังคงมีส่วนดี คือ การสนใจศึกษาธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส

ของตน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะระลึกถึงส่วนดีของบุคคลนั้น แล้วก็ไม่สนใจในข้อเสีย

ของบุคคลนั้น

ไม่ควรมีเจตนาที่อยากจะให้บุคคลอื่นไปสู่อบายเลย เพราะเหตุว่าถ้าท่านมีเจตนา

อย่างนั้น จะเป็นอกุศลเจตนา หวังร้ายกับบุคคลอื่น อยากให้บุคคลอื่นได้รับทุกข์ทรมาน

ในอบายภูมิ ในนรก

บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะเหตุว่า

คนผู้โกรธเป็นคนเลว เพราะมีอกุศลจิตเกิดขึ้น แต่บุคคลผู้โกรธตอบ ก็เป็นผู้ที่ทั้งๆ

ที่เห็นว่าเป็นอกุศล ก็ยังมีอกุศลจิตเกิดด้วย

ขันธ์ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่างเปล่าจากสาระ เกิดแล้วดับไม่

กลับมาอีกเลย

สิ่งที่มีจริงๆ สามารถรู้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงแล้ว

ทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม

ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมที่เกิดแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้ เป็น

สภาพธรรมเพียงชั่วคราว เกิดแล้วดับ

ไม่รู้ เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม

สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่เห็น แต่ถูกเห็น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสภาพธรรม คือ

หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งเริ่มจากการฟังพระธรรม

เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แต่ก็ลืมว่าเป็นธรรม ลืมว่าเป็นอนัตตา

ลืมว่าไม่สามารถบังคับบัญชาได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดเพื่อไม่ให้เข้าใจผิด

สิ่งที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งบุคคล

อื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถแสดงให้บุคคลอื่นเกิดความรู้ความ

เข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เป็นแต่ละขณะในชีวิตนี้ได้เลย.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๗๗ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๗

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ - การเจริญขึ้นด้วยทรัพย์สินเงินทองบริวาร เป็นผลของกุศลกรรมในอดีต จะสะสม

ต่อไปได้ ก็ด้วยกุศลกรรม แต่การเจริญด้วยทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา

เป็นการสะสม จากในอดีต และต่อๆ ไป ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจธรรม เห็นถูก กุศล

ธรรมจึงสามารถเจริญขึ้นต่อไป

- เราอาจคิดว่าการเจริญสติปัฏฐาน มิใช่สำหรับเรา และคิดว่าเราห่างไกลจากการ

รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่อย่างไรก็ตาม เราควรระลึกว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และ

ทรงแสดงอริยสัจจธรรม เพื่อประโยชน์สุขกับเรา พระธรรมจะเปลี่ยนชีวิตของเรา

- ที่เป็นอย่างนี้ทุกท่านจะต้องทราบว่า เรื่องของการคบหาสมาคม เป็นสิ่งสำคัญ

เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่เป็นอุปนิสสัย คือเป็นปัจจัยที่มีกำลัง ถ้าขาดการคบค้า

สมาคมกับพระธรรม คือขาดการฟังบ่อยๆ หรือขาดการอ่าน หรือขาดการสนทนาธรรม

ในขณะนั้น ชีวิตประจำวันทุกวันนี้ วันทั้งวัน โอกาสของกิเลส มีมากอยู่แล้ว เพราะ

ฉะนั้น การที่จะได้ฟังพระธรรมหรือพิจารณาธรรม หรือ สนทนาธรรมเป็นแต่เพียง

โอกาสที่สั้นๆ และเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่ฟัง แต่เวลาที่

เกิดการไม่ฟัง หรือว่าความสนใจที่น้อยลง อาจจะเห็นได้ว่าขณะนั้น เป็นการเปิดช่อง

ให้กิเลสซึ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เพิ่มโอกาสที่จะมีกำลังขึ้นอีก จากการ

ไม่ฟัง จากการไม่พิจารณาธรรมจากการไม่สนทนาธรรม เพราะว่า อีกท่านหนึ่ง ซึ่ง

เป็นผู้ที่เรียนมาด้วยกันฟังมาด้วยกัน สนทนาธรรมมาด้วยกัน แต่ว่าผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ยัง

คงอ่านพระธรรมเป็นประจำ และยังสนทนาธรรมเป็นประจำ เพราะฉะนั้น ท่านผู้นั้น

ท่านก็กล่าวว่าความสนใจในพระธรรมของท่าน เพิ่มมั่นคงขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่ง

ทุกอย่างต้องอาศัยเหตุปัจจัย สำหรับท่านที่คบหากับพระธรรมก็มีความสนใจใน

พระธรรมเพี่มขึ้น

- ถ้ากุศลกรรมยังคุ้มครองอยู่ จะไม่มีโอกาสได้รับอารมณ์ไม่ดี ทางตา หู จมูก ลิ้น

กายเลย ถ้าอกุศลได้โอกาสเมื่อใด วิบากจิตก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ที่ไม่ดี ทางตา ทางหู

ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่คนอื่นสามารถทำร้ายเราได้ ที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย ที่เห็น

รูปไม่ดี ได้ยินเสียงไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ได้รสไม่ดี ก็เพราะอกุศลกรรรมของเราที่ได้

ทำไว้ มีโอกาสให้ผล ฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจเหตุและผลของกรรมและวิบาก จึงลดความ

หวั่นไหวในโลกธรรม8 คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์

ตามความมากน้อยของปัญญา

- หลายท่านอยากจะเปลี่ยนชีวิต จากวันหนึ่งๆ ที่เต็มไปด้วยอกุศล ให้เป็นวันหนึ่งๆ

ที่เต็มไปด้วยกุศล อยากอย่างนี้หรือเปล่าคะ ผิดหรือถูก ต้องคิดค่ะ เป็นเพียงความ

อยาก แต่ว่าจะเป็นความจริงได้อย่างไร ตามความเป็นจริง ไม่ใช่สำเร็จได้ด้วยความ

อยาก แต่ว่าต้องสำเร็จด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ฝืนไม่ให้มีโลภะ แต่ว่าเป็น

การรู้จักโลภะ ตามความเป็นจริง เดินไปด้วยโลภะ ที่จะดื่มน้ำสักแก้วหนึ่ง อย่าง

ท่านที่มาฟังคำบรรยาย ก็ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ใช่ไหมคะ หน้าร้อนก็มักจะดื่มน้ำกัน

ในขณะนั้น เมื่อเป็นผู้มีฉันทะ ในการที่จะเจริญปัญญา รู้ลักษณะของ สภาพธรรม

ตามความเป็นจริง แม้โลภะจะเกิด สติปัฏฐานก็ยังเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรม

ที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นโดยไม่ฝืน โดยไม่คิดว่าจะเปลี่ยน ให้เป็นกุศลไปตลอดเวลา

เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าสติสามารถที่ระลึกรู้ลักษณะ ของแม้อกุศลซึ่งเกิดอยู่เป็น

ประจำตามความเป็นจริง จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขี้น และเมื่อปัญญาค่อยๆ เพิ่มขึ้น

จึงจะละคลายความเป็นตัวตนลงไป โดยที่ยังต้องมีโลภะนั่นเองเป็นสมุทัย ที่จะทำให้

ชีวิตดำเนินไป จนกว่าจะถึงกาลที่จะสามารถดับโลภะได้ เพี่มขึ้นเป็นลำดับขั้น เพราะ

ฉะนั้น อย่าหวังนะคะ ที่จะไม่ให้โลภะเกิด หรืออย่าหวังที่จะให้เปลี่ยนเป็นกุศล

เพราะว่าถึงจะมากอย่างไร ก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้อกุศล เกิดมากกว่า กุศล อยู่นั่นเอง

- ตามความเป็นจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับหมดไป อย่างรวดเร็ว

มีจริงเพียงชั่วขณะที่ปรากฏให้เห็นแล้วจะเป็น ที่พึ่งที่แท้จริง ได้อย่างไร เพียงแค่

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเกิดแล้วก็ดับ และอาจจะจำไม่ได้ด้วย ถ้าไม่ได้คิดถึงแต่ เมื่อเห็น

อีกก็เหมือนกับมีอีก.? ฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏที่เกิด ดับๆ นั้นถึงแม้ปรากฏแล้วจะเป็น

ที่พึ่งที่แท้จริง"ได้ไหมคะ แต่ ความเข้าใจความจริงของธรรมะ เป็นที่พึ่งได้ค่ะ เป็น

ที่พึ่งที่แท้จริงได้ แม้ในขณะที่กำลังจะจากภพชาตินี้ไป

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บรรพต
วันที่ 17 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chulalak
วันที่ 17 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 17 ก.พ. 2556

เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แต่ก็ลืมว่าเป็นธรรม ลืมว่าเป็นอนัตตา

ลืมว่าไม่สามารถบังคับบัญชาได้

สิ่งที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งบุคคล

อื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถแสดงให้บุคคลอื่นเกิดความรู้ความ

เข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เป็นแต่ละขณะในชีวิตนี้ได้เลย.

- ตามความเป็นจริงสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับหมดไป อย่างรวดเร็ว

มีจริงเพียงชั่วขณะที่ปรากฏให้เห็นแล้วจะเป็น ที่พึ่งที่แท้จริง ได้อย่างไร เพียงแค่

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเกิดแล้วก็ดับ และอาจจะจำไม่ได้ด้วย ถ้าไม่ได้คิดถึงแต่ เมื่อเห็น

อีกก็เหมือนกับมีอีก.? ฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏที่เกิด ดับๆ นั้นถึงแม้ปรากฏแล้วจะเป็น

ที่พึ่งที่แท้จริง"ได้ไหมคะ แต่ ความเข้าใจความจริงของธรรมะ เป็นที่พึ่งได้ค่ะ เป็น

ที่พึ่งที่แท้จริงได้ แม้ในขณะที่กำลังจะจากภพชาตินี้ไป

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ. ผเดิม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
daris
วันที่ 17 ก.พ. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Boonyavee
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kinder
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Noparat
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ประสบภัยภายนอก ก็เพราะมาจากภัยภายในคือกิเลส

การแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ใช่แก้ด้วยอย่างอื่น แต่แก้ด้วยสภาพของจิตซึ่งได้

ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจ ซึ่งทำให้การคิดและการกระทำ ถูกต้องยิ่งขึ้น

ความเข้าใจความจริงของธรรมะ เป็นที่พึ่งได้ค่ะ

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
j.jim
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
natural
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
rrebs10576
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Pure.
วันที่ 22 ก.พ. 2556

บุคคลทั้งหลายแตกต่างกันโดยวิชชาที่สังสมมา ดั่งเห็นสภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ปัญญาอันชอบแล้วโดยธรรมของบุคลนั้นๆ .

อนุโมทนาบุญครับอาจารย์...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ