ผมอยากทราบวิธีเจริญสติปัญญาเบื้องต้นครับ

 
เพียงดิน
วันที่  18 ก.พ. 2556
หมายเลข  22504
อ่าน  1,226

ขอความกรุณาครับ คือผมอยากทราบวิธีเจริญสติและเจริญปัญญาเบื้องต้นครับ เอาแบบพื้นฐานเลยนะครับ เพราะว่าทุกวันนี้ ผมใช้วิธีแบบของผม เตือนตัวเองตลอดเวลา แต่บางทีมันเผลอแว๊บไป เช่น เวลาขับรถผมก็คอยเตือนตัวเองตลอดเวลา แต่บางครั้งเจอคนขับรถไม่ดีทำให้อารมณ์โกรธยังเกิดขึ้นอยู่ แต่มันเกิดแป๊ปเดียว พอปัญญามามันก็หาย แต่ในช่วงเวลาที่ปัญญายังไม่มาผมอาจเผลอทำสิ่งไม่ดีก็ได้ จึงอยากขอความกรุณา ผมอยากจะฝึกสติ ปัญญา ตั้งแต่พื้นฐานเลยครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

พื้นฐานจริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไรก็ตาม จึงควรตั้งต้นด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่เบาสบาย ไม่หนัก เพราะไม่เป็นไปกับด้วยการไปทำอะไรด้วยการเป็นตัวตน ด้วยความติดข้องต้องการ หรือ ด้วยความไม่รู้ ถ้าได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งเป็นการเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะการที่เข้าใจธรรมก็คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

การอบรมเจริญปัญญา จึงต้องเป็นการค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ใจร้อน เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น ต้องตั้งต้นอย่างนี้จริงๆ คือ ตั้งใจฟังพระธรรม ไม่ขาดการฟังพระธรรมครับ

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

จะเริ่มต้นศึกษาธรรมะอย่างไร

ศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจอะไร

ธรรมะ ปรมัตถธรรม อภิธรรม

ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริง

เชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

เริ่มต้นศึกษาธรรมอย่างไรดี

สำหรับผู้เริ่มต้น

แด่...ผู้เริ่มต้น

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 18 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด และ จะต้องเจริญไปตามลำดับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่ง ปัญญาขั้นแรกจะต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานสำคัญเลยว่า ธรรม คือ อะไร ธรรมคือสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง คิดนึก ชอบ ไม่ชอบ โกรธ ล้วนแล้วแต่เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ดังนั้น ปัญญาขั้นต้นก็จะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่เป็นแต่เพียงธรรม ดังนั้น ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหน ที่จะไปนั่ง หรือ ทำอะไร ธรรมมีอยู่แล้วที่ควรจะรู้

ประการที่สำคัญที่สุด คือ ปัญญาควรรู้อะไรจึงจะถูกต้อง หนทางการดับกิเลสที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะต้องละกิเลสไปตามลำดับ ตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญตามลำดับ ดังนั้น พระโสดาบัน ท่านละกิเลสได้ คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้น ท่านยังละโลภะ ความติดข้องไม่ได้ ยังละความโกรธไม่ได้ ยังเกิดความโกรธได้เป็นธรรมดา สำหรับพระโสดาบัน แต่ท่านไม่สำคัญผิดว่า ความโลภะ ความติดข้อง ความโกรธ เป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล แต่ท่านรู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม ดังนั้น พระโสดาบัน ท่านก็ยังเกิดโกรธ และ ห้ามไม่ได้ด้วย แต่ ท่านละความโกรธ ด้วยการรู้จักความโกรธ ว่าไม่ใช่เรา ดังนั้น กิเลสที่จะต้องละอันดับแรก ไม่ใช่จะละความโกรธ จะละกิเลส คือ ความติดข้อง แต่ กิเลสที่จะต้องละอันดับแรก คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล นั่นคือ ละความเห็นผิดว่า เป็นสัตว์ บุคคล ครับ

เพราะฉะนั้น เบื้องต้น คือ เริ่มจากการฟัง ให้เข้าใจขั้นการฟังว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา โดยฟังพระธรรม และ เมื่อเริ่มมีความเข้าใจถูกขั้นการฟังมากขึ้น ปัญญาจะทำหน้าที่เอง ไม่มีเราไปบังคับที่จะไม่ให้โกรธ หรือ พยายามไม่ให้โกรธเกิดขึ้น หรือ พยายามให้โกรธที่เกิดแล้วดับไป เป็นไปไม่ได้ แต่หนทางที่ถูก คือ เมื่อปัญญาเกิด ก็จะเกิดเอง โดยรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงโกรธ ขณะนี้กำลังอ่านอยู่ ก็เกิดปัญญา ว่า เป็นแต่เพียงขณะที่คิดนึก ไม่ใช่เราที่คิดนึก ไม่ใช่เราที่โกรธ แต่เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่โกรธ การเริ่มจากพื้นฐาน เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม จะทำให้ค่อยๆ ละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล และ ในอนาคตอีกนานแสนนานนับชาติไม่ถ้วน ปัญญาก็จะเกิดจนถึงประจักษ์ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม และ ถึงความเป็นพระโสดาบันได้ ครับ

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไร เพราะทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม หน้าที่ที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในขั้นการฟัง ว่า ธรรมคืออะไร และ ฟังในเรื่องของสภาพธรรม และ การเจริญสติปัฏฐานไปเรื่อยๆ ปัญญาจะทำหน้าที่เอง โดยที่ไม่ต้องไปคิด พยายามจะละกิเลส ละไม่ให้โกรธ การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ โดยเข้าใจว่า เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ การอบรมหนทางที่ถูก ก็จะเบาด้วยความเข้าใจถูก และ ย่อมถึงการดับกิเลสได้ในอนาคต ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 19 ก.พ. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เพียงดิน
วันที่ 19 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณสำหรับทุกๆ คำตอบครับ ตอนนี้ผมฟังธรรมโดยท่าน อ.สุจินต์ บรรยายทุกวันครับ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ คงต้องไปเริ่มที่ท่าน khampan.a แนะนำก่อน สำหรับผู้เริ่มต้น

ขออนุโมทนาสำหรับทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
rrebs10576
วันที่ 21 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 21 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ