ไพเราะทุกคำที่ท่านกล่าว
ท่านอาจารย์ได้บรรยายธรรม ได้ไพเราะทุกๆ คำที่ท่านกล่าว ท่านกล่าวว่า ประโยชน์ที่สุดก็คือ ให้เข้าใจธรรมะ ไม่ใช่ไปพิพากษา ไม่วิจารณ์ แต่เข้าใจความเป็นธรรมะทีละคำจริงๆ ยกตัวอย่างคำว่า ขันธ์ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ใช่เรา ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นให้เป็นอย่างอื่นได้ เกิดแล้วเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่มีสาระที่ควรยึดถือ เข้าใจความเป็นขันธ์ ไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ว่าขันธ์ แต่ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ว่างเปล่าจากสาระ แล้วก็หลงอยู่ในโลกที่ไม่มีสาระอะไรเลย แล้วจะไปละกิเลสใดๆ ไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจคำว่าขันธ์ ก็ยึดสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปว่าเป็นเรา เป็นเขา เห็นแล้วก็แต่งเรื่องตามความคิดทุกวัน เรื่องราวต่างๆ ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้นตามความคิด เรื่องราวที่คิดไม่มีจริง ไม่มีสาระ และจิตเกิดขึ้นคิดและดับไปก็ไม่มีสาระทั้งสอง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นทีละหนึ่งจริงๆ เห็น ได้ยิน แล้วก็แต่งเรื่อง พรุ่งนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วก็แต่งเรื่องต่อ การแก้ปัญหาก็แก้ไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะเข้าใจธรรมจึงไม่มีปัญหา ฟังแล้วไม่ลืมเพราะปกติลืมอยู่เสมอ เกิดคิดได้เมื่อไร ก็มีปัจจัยให้เกิดคิด ไม่ลืมสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วดับไป ไม่มีสาระ ทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีจริง คิดก็มีจริง แต่งเรื่องราวต่างๆ สุขทุกข์ก็ตามมา การแต่งเรื่องก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ไม่มีเราที่ไปทำหน้าที่ปรุงแต่งได้ วันหนึ่งๆ ลืมบ่อย เห็น ได้ยิน และคิด โกรธ พอใจ สงสัย แม้ความไม่รู้เกิดขึ้น ก็ลืมว่าเป็นธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วหมดไป ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ สะสมเป็นอุปนิสัย สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะคลายความไม่รู้ ความยึดถือคนนั้นคนนี้ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกคำที่ได้ยินได้ฟังที่เป็นคำจริง เป็นวาจาสัจจะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ พระธรรมไพเราะทุกคำ เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ครับ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านด้วยครับ...