กองทัพกิเลส

 
เมตตา
วันที่  3 มี.ค. 2556
หมายเลข  22570
อ่าน  2,116

ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาจนเข้านอน เต็มไปด้วยอกุศลจิตที่สะสมเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน สิ่งที่เป็นขยะเน่าเหม็นสะสมอยู่ในจิตตน ส่วนกุศลจิตก็เกิดน้อยมากในแต่ละวันเมื่อเทียบกับกองทัพกิเลส ชีวิตที่เหลือจะตื่นขึ้นมากินแล้วก็นอน แล้วก็ตายจากไป ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่ออะไร จะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ หรือตายไปด้วยความเข้าใจธรรม อยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญา พร้อมด้วยการอบรมเจริญกุศลทุกประการ เพราะกิเลสอกุศลนั้นมากมายเพียงใด ไม่ควรประมาท ความประมาทก็คือขณะที่อกุศลเกิด ขณะที่กิเลสอกุศลเกิดเสมอๆ ในแต่ละวันก็คือคุณประมาท ทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ความประมาท คือ การปล่อยจิตให้ไปตามกามคุณ ๕ ขณะนี้เองซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน หลังเห็น หลังได้ยิน ก็พอใจ อกุศลจิตก็เกิดแล้ว เป็นสัตว์ เป็นเรา ข้องอยู่ในกามตลอดเวลา อย่าดูหมิ่นกิเลสว่ามีประมาณน้อย เพราะเมื่อสะสมกิเลสอกุศลอยู่ในจิตจนมีกำลังเมื่อไร เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมย่อมกระทำอกุศลกรรมบถได้ ความเป็นผู้มีอกุศลหยาบที่สุด คือ พอใจในการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม มุสา ดื่มสุรา

เมื่อวานนี้ที่มูลนิธิได้สนทนาปธานสูตร ว่าด้วยความเพียรใหญ่ กล่าวถึงมารที่มาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ แม้ขณะที่ทรงออกบวช มารก็ติดตามไม่อยากให้บวช ขัดขวางชักชวนให้เป็นคฤหัสห์ ขอกล่าวถึงมาร ซึ่งมีหลายนัย มารที่เป็นสัตว์บุคคลก็คือเทวบุตรมาร ส่วนมารที่เป็นกิเลสก็คือกิเลสมาร เสนามารก็มีมากมายที่กล่าวไว้ในพระสูตรเช่น กามทั้งหลายเป็นเสนาที่ ๑ ความไม่ยินดีเป็นเสนาที่ ๒ ความหิวความกระหายเป็นเสนาที่ ๓ ตัณหาเป็นเสนาที่ ๔ เป็นต้น ทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจว่าในชีวิตแต่ละวันต้องพบเจอกับกองทัพกิเลส กองทัพมารมากมายเพียงใด ซึ่งมีอวิชชาความไม่รู้เป็นเสนาหัวหน้ากองทัพกิเลสเพราะอกุศลจิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นมีอวิชชาเกิดร่วมด้วย

เพราะฉะนั้น การกำจัดกิเลสได้นั้นก็ต้องด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงขณะนี้ อาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง คิดเองไม่ได้ ปัญญาเป็นบุญประเสริฐสุด ไม่มีสิ่งอื่นเหนือกว่า ฟังพระธรรมและพิจารณาคำที่ได้ยินว่าถูกต้องหรือเปล่า ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ทุกอย่างชั่วคราว ชีวิตก็ชั่วคราว ประโยชน์จริงๆ ที่เกิดมาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง แต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ความจริงเป็นอย่างนี้ เห็นแล้วก็ดับ ได้ยินแล้วก็ดับ ไม่มีใครบังคับได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ทุกขณะเป็นเพียงธาตุ แต่ละธาตุเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เตือนให้รู้ว่า ขณะนี้อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เราเลย ฟังเพื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละน้อยๆ ค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเสนามาร อดทนที่จะฟังให้เข้าใจความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ ซึ่งนำไปสู่การรู้แจ้งความจริงดับกองทัพกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท พ้นจากการเวียนเกิดในสังสารวัฏฏ์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กิเลสไม่ได้อยู่ในตำรา แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ซึ่งจะทำให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษา ได้พิจารณาขัดเกลากิเลสของตนเองได้อย่างละเอียด เพราะเหตุว่า ทรงชี้ให้เห็นกิเลสและโทษของกิเลสตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นได้ พร้อมทั้งทรงแสดงให้เห็นถึงคุณของปัญญา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่สำคัญมากในพระธรรมวินัยนี้ เพราะเหตุว่าบุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ไม่เกิดอีกเลย สามารถจะข้ามพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นปกติบ่อยๆ เนืองๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น ก็จะสามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตประจำวันอยู่ด้วยอกุศลมาก หรือ กุศลมาก คือ อยู่ด้วยอกุศลจิต ที่มีกองทัพกิเลสที่มีมากมาย แต่กองทัพของกิเลสนั้น เปรียบดังเช่นทหารเลว ที่ไม่ได้มีกำลังมาก หากเทียบกับกองทัพที่มีน้อย แต่มีกำลัง มีความสามารถ นั่น คือ กุศลธรรม ปัญญาที่เจริญอบรมดีแล้ว ปัญญาที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนทหารที่ดี และ มีความสามารถ แม้จะมีน้อย ก็สามารถที่จะละกิเลสได้ คือ สามารถ ฆ่าทหารเลวที่มีจำนวนมากได้ แต่กว่าจะมีทหารที่ดี มีความสามารถ ก็จะต้องศึกษาอบรมปัญญาอย่างยาวนานและอดทน ซึ่งจะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นทีละน้อย จนละมาร ละอกุศลธรรมได้หมดสิ้นในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนาพี่เมตตา และ ทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บรรพต
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขอกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
sumano
วันที่ 4 มี.ค. 2556

พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า เราเป็นลูกไก่ตัวแรกที่ออกมาจากฟองไข่

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Boonyavee
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
natural
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 8 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 18 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nattawan
วันที่ 11 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pulit
วันที่ 7 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 26 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 มิ.ย. 2564

ขอถวายความนอบน้อมพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ขุททกนิกาย สุตตนิบาต

ปธานสูตรที่ ๒

พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์นี้กับมาร"...แน่ะมาร เสนาของท่านนี้มีปกติกำจัดซึ่งคนผู้มีธรรมดำ คนผู้ไม่กล้าย่อมไม่ชนะซึ่งเสนาของท่านนั้น ส่วนคนผู้กล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้ความสุข ก็เพราะเหตุที่ได้ความสุขนั้น แม้เรานี้ก็พึงรักษาหญ้ามุงกระต่ายไว้ น่าติเตียนชีวิตของเรา เราตายเสียในสงครามประเสริฐกว่า แพ้แล้วเป็นอยู่จะประเสริฐอะไร สมณะพราหมณ์บางพวกหยั่งลงแล้วในเสนาของท่านนี้ ย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ที่มีวัตรงามย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้ เราเห็นมารพร้อมด้วยพาหนะ ยกออกแล้วโดยรอบ จึงมุ่งหน้าไปเพื่อรบ มารอย่าได้ยังเราให้เคลื่อนจากที่ โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมครอบงำเสนาของท่านไม่ได้ เราจะทำลายเสนาของท่านเสียด้วยปัญญา เหมือนบุคคลทำลายภาชนะดินทั้งดิบทั้งสุก ด้วยก้อนหิน ฉะนั้น

เราจักกระทำสัมมาสังกัปปะให้ชำนาญ และดำรงสติให้ตั้งมั่นเป็นอันดี แล้วจักเที่ยวจากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น แนะนำสาวกเป็นอันมาก สาวกผู้ไม่ประมาทเหล่านั้นมีใจเด็ดเดี่ยว กระทำตามคำสั่งสอนของเรา จักถึงที่ซึ่งไม่มีความใคร่ที่ชนทั้งหลายไปถึงแล้วย่อมไม่เศร้าโศก"

" เพราะกิเลสยังมี มารจึงสามารถที่จะขัดขวางได้ แต่ถ้ากิเลสไม่มี แม้ว่ามารจะพากเพียรพยายามขัดขวางสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางได้

สาวกผู้ไม่ประมาทเหล่านั้นมีใจเด็ดเดี่ยวหมายความว่า เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จึงชื่อว่ามีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนั้นจะเป็นโลภะ จะเป็นโทสะ จะเป็นสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม จะเป็นวิบากกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างไรก็ตาม แต่ผู้ที่มีใจเด็ดเดี่ยวไม่หวาดหวั่น ที่สติจะระลึกรู้สภาพธรรมนั้นตรงตามความเป็นจริง ตามธรรมดาของสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย "

จาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 0299

การได้ฟังพระธรรม คำจริงที่แสดงโทษของอกุศล มีความไม่รู้เป็นหัวหน้ามารและเสนามารอีกมากมาย เพราะความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วยึดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จึงพ่ายแพ้มาร ทำให้ต้องเกิดไม่สิ้นสุด การได้สะสมความเข้าใจจากการฟังพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองตามคำที่ฟัง เป็นสาระสำคัญของชีวิต ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลพี่เมตตา และ ทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 14 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ