การชนะมารของพระพุทธองค์และพระแม่ธรณี

 
rukawa119
วันที่  12 มี.ค. 2556
หมายเลข  22608
อ่าน  17,930

เรียนท่านอาจารย์ประจำมูลนิธิทุกท่าน

สมัยก่อนที่พระพุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ธรรม มีพญามารมาขัดขวางโดยยกพลเสนามามากมาย จึงอยากเรียนถามเกี่ยวกับการชนะมารของพระพุทธองค์ดังนี้

๑. มารที่มาขัดขวางเป็นเทวบุตรมารใช่หรือไม่

๒. พระแม่ธรณีบีบมวยผมให้น้ำหลั่งไหลมาให้เหล่ามารพ่ายแพ้ไปหรือไม่

๓. พระแม่ธรณีเป็นพยานในการสร้างบารมีให้แก่พระพุทธองค์หรือไม่

๔. น้ำที่บีบมาจากมวยผมพระแม่ธรณีเป็นน้ำที่เกิดจากที่พระพุทธองค์สร้างบุญกุศลแล้วกรวดน้ำทุกครั้งหรือไม่ ดังนั้นการกรวดน้ำจึงจำเป็นทุกครั้งหลังจากสร้างกุศลหรือไม่ เพื่อให้พระแม่ธรณีเป็นพยานในการสร้างบุญกุศล

๕. พระแม่ธรณีมีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างไร

ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. มารที่มาขัดขวางเป็นเทวบุตรมารใช่หรือไม่

ถูกต้อง ครับ เป็นเทวดาชั้นที่ ๖ ที่มีความเห็นผิด ไม่ยินดีในกุศลธรรม จึงมาขัดขวางพระโพธิสัตว์ที่ใกล้จะตรัสรู้

๒. พระแม่ธรณีบีบมวยผมให้น้ำหลั่งไหลมาให้เหล่ามารพ่ายแพ้ไปหรือไม่

ไม่มีข้อความที่แสดงถึงพระแม่ธรณีมาบีบมวยผม ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เป็นการคิดแต่งขึ้นเองภายหลัง ซึ่งในความจริงแสดงไว้ว่า พระโพธิสัตว์ทรงใช้นิ้วชี้ลงแผ่นดิน อ้างถึงคุณความดีที่พระองค์ได้ทำในอดีตชาติ แผ่นดินนั้นก็ไหว ทำให้พญามารและมารทั้งหลายพ่ายแพ้ไป

๓. พระแม่ธรณีเป็นพยานในการสร้างบารมีให้แก่พระพุทธองค์หรือไม่

ไม่มีครับ เพียงแต่แผ่นดินเป็นพยาน คือ เทวดาที่ปกครองแผ่นดินเคยรับรู้ในคุณธรรมในอดีตเมื่อบำเพ็ญบารมีมา จึงทำให้แผ่นดินไหว ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 148

ลำดับนั้น มารกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า สิทธัตถะ ในภาวะที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ใครเป็นสักขีพยาน พระมหาบุรุษตรัสว่า ในภาวะที่เราให้ทาน ตนผู้มีจิตใจเป็นพยานก่อน แต่ในที่นี้ เราไม่มีใครๆ ที่มีจิตใจเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้ในอัตภาพอื่นๆ จงยกไว้ก่อน เอาแค่ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้ว ได้ให้สัตตสดกมหาทานก่อน ปฐพีอันหนาใหญ่นี้แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานได้ จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์เบื้องขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงชี้ไปตรงหน้ามหาปฐพี โดยตรัสว่า ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร แล้วให้สัตตสดกมหาทาน ท่านเป็นสักขีพยานหรือไม่ได้เป็น มหาปฐพีได้บันลือขึ้นเหมือนจะท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียง พันเสียง แสนเสียงว่า ในกาลนั้น เราเป็นสักขีพยานท่าน

แต่นั้น เมื่อพระมหาบุรุษทรงพิจารณาถึงทานที่ให้ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรอยู่ว่า สิทธัตถะ มหาทานอุดมทาน ท่านได้ให้แล้ว ดังนี้ ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ คุกเข่าลงบนแผ่นดิน บริษัทมารพากันหนีไปยังทิศานุทิศ มาร ๒ ตนชื่อว่าหนีไปทางเดียวกันย่อมไม่มี พากันทิ้งอาภรณ์ที่ศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม แล้วหนีไปทางทิศที่ตรงหน้าๆ นั่นเอง

๔. น้ำที่บีบมาจากมวยผมพระแม่ธรณีเป็นน้ำที่เกิดจากที่พระพุทธองค์สร้างบุญกุศลแล้วกรวดน้ำทุกครั้งหรือไม่ ดังนั้นการกรวดน้ำจึงจำเป็นทุกครั้งหลังจากสร้างกุศลหรือไม่ เพื่อให้พระแม่ธรณีเป็นพยานในการสร้างบุญกุศล

ตามที่กล่าวแล้วว่า ไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับพระแม่ธรณีเป็นพยานและมีเรื่องน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนการกรวดน้ำที่มีน้ำมาเกี่ยวข้องในการอุทิศส่วนกุศลนั้น

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ ...

การกรวดน้ำ อุทิศผลบุญ ความเป็นมาอย่างไร

๕. พระแม่ธรณีมีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างไร

ไม่ปรากฎในพระไตรปิฎกและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
rukawa119
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในความกระจ่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม โดยอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง สำหรับประเด็นเรื่องของพระแม่ธรณี ก็ได้ทราบอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าไม่มีในพระไตรปิฎก ในวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ทรงตรัสรู้ ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต (คือ ยังไม่ตก) พระองค์ก็ทรงชนะมาร พร้อมด้วยเสนามาร ด้วยพระบารมีที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมา เป็นการชนะมารที่เป็นเทวปุตมาร และในเวลาใกล้รุ่งของวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) พระองค์ก็ได้ทรงตรัสรู้ ดับกิเลสที่เป็นกิเลสมารได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ

แสดงให้เห็นถึงการสะสมมาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อที่จะได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม มีพระทัยที่หนักแน่นมั่นคงต่อการที่จะได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง กับบุคคลผู้ที่สะสมมาไม่ดี เป็นมาร ไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ดี อยากให้อยู่ในวัฏฏะ จึงมีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามกิเลสที่ตนเองได้สะสมมา จึงต่างกันอย่างมาก ดังนั้น สัตว์โลกจึงมีความหลากหลาย เพราะการสะสมมาที่แตกต่างกันนั่นเอง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 12 มี.ค. 2556

พระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็นคัมภีร์รุ่นหลังๆ ที่แต่งขึ้นมา แต่ตอนที่พญามารไล่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า แผ่นดินเป็นพยาน และแผ่นดินก็ไหว ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Thanapolb
วันที่ 14 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนความคิดเห็นที่ ๔ ที่ว่า แผ่นดินเป็นพยาน และแผ่นดินก็ไหว ค่ะ..

แผ่นดินเป็นรูปธรรม เป็นพยานได้อย่างไรครับ และไหวเพราะอำนาจหรือปัจจัยอย่างอื่นไหมครับ

น่าจะเป็นอย่างที่ อ.เผดิม กล่าวไหมว่า แผ่นดินเป็นพยานคือ เทวดาที่ปกครองแผ่นดินเคยรับรู้ในคุณธรรมในอดีตเมื่อบำเพ็ญบารมีมา จึงทำให้แผ่นดินไหว

สรุปว่า แผ่นดินไหวได้ จะเรียกปาฏิหารย์ก็ว่าได้ เกิดขึ้นได้ถ้าบารมีของบุคคลนั้นสูงมาก อย่างนั้นหรือเปล่าครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ถูกต้อง ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Thanapolb
วันที่ 16 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณครับ และ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 20 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ