ที่เกิดของรูป

 
starter123
วันที่  15 มี.ค. 2556
หมายเลข  22626
อ่าน  2,898

ผมฟังการอธิบายที่เกิดของรูปจาก youtube ยังไม่เข้าใจ และคิดว่าเรื่องราวยังไม่สอดคล้องกันเท่าไร เขาบอกว่าที่มาของรูปคือ อนุภาคเล็กๆ ของจิตที่ปฏิสนธิในตอนแรก (อุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะ) แต่ความคิดของผมคือคิดว่าจิตมันเป็นนามนะครับ จะเป็นรูปได้อย่าง อนุภาคเล็กๆ ๆ แค่ไหนก็ยังเป็นรูปอยู่นะ เกี่ยวข้องกันได้ยังไง ผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

ถ้าคนเราตายไปแล้ว และจะมาเกิดอีก จังหวะแรก ที่จะมาเป็นรูปนี่ปฏิสนธิอย่างไรครับ ขอท่านผู้รู้อธิบายด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
starter123
วันที่ 15 มี.ค. 2556

คนเราตอนที่ตายแล้วถูกเผาไปหมดเลยนะ เหลือแต่นาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ๔ ตัวนี่อยู่กันยังไงครับ ที่ว่ากรรมมัชรูป ส่งผลให้มาเกิดนี่ ส่งผลอย่างไรครับ ในเมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรแล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง สภาพธรรมแต่ละอย่างไม่ปะปนกันเลย รูปก็ส่วนรูป นามก็ส่วนนาม นามเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ ส่วนรูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย นามจึงไม่ใช่ รูป และ รูปจึงไม่ใช่นาม ไม่ปะปนกัน เพียงแต่ว่า สภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ ครับ อย่าง รูป เกิดขึ้นได้เพราะ อาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ อย่างเช่น การเกิดเป็นมนุษย์ มีรูปร่างกายต่างๆ ก็เพราะ อาศัย ตั้งแต่ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น รูปก็เกิดพร้อมจิตนั้น แต่ รูป ไม่ใช่อนุภาค หรือ ส่วนเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของจิต แต่รูปเกิดขึ้นได้พร้อมจิต ด้วยเหตุผล คือ เพราะอาศัยกรรมเป็นปัจจัย กรรมในอดีตให้ผล ทำให้เกิดผล ๒ อย่าง คือ เกิดนามธรรม คือ ปฏิสนธิจิต และ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย และ เกิดรูปธรรมด้วยในขณะนั้น คือ เกิดรูปธรรมที่อาศัยกรรมเป็นปัจจัย และ กรรมนั่นเอง ที่ทำให้เกิดรูป มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ค่อยๆ เจริญเติบโต เป็นรูปร่างกาย พร้อมๆ กับมีจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น แต่ละขณะจิตด้วย จึงบัญญัติว่า เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ประกอบด้วยรูปและนาม ครับ แต่ไม่ใช่รูปเป็นส่วนหนึ่งของนาม

และจากคำถามที่ว่าถ้าคนเราตายไปแล้ว และจะมาเกิดอีก จังหวะแรก ที่จะมาเป็นรูปนี่ปฏิสนธิอย่างไรครับ

- ดังที่กล่าวไปแล้ว คือ อาศัยกรรมเป็นปัจจัย ทำให้เกิดรูปและนาม ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น รูปก็เกิดตามเหตุ สมุฏฐานของเขา คือ มีกรรมเป็นปัจจัย ส่วนนาม คือ ปฏิสนธิจิต ก็เกิดด้วยกรรมเป็นปัจจัยเช่นกัน ครับ

และจากคำถามที่ว่าคนเราตอนที่ตายแล้วถูกเผาไปหมดเลยนะ เหลือแต่นาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) 4 ตัวนี่อยู่กันยังไงครับ ที่ว่ากรรมมัชรูป ส่งผลให้มาเกิดนี่ ส่งผลอย่างไรครับ ในเมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรแล้ว

- ในความเป็นจริง สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ คือ รูปและนาม ที่เป็น เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณที่เป็นจิต ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นและดับไป ใหม่อยู่ตลอดเวลา ครับ ไม่ได้เที่ยงยั่งยืน ที่เป็น นามเก่า รูปเก่า เลย แม้จะไม่ถูกเผา แม้ในขณะนี้เอง สภาพธรรมก็ตาย และ เกิดทุกขณะ ตายอยู่ทุกขณะอยู่แล้ว และ เกิดสภาพธรรมใหม่ รูปใหม่ นามใหม่อยู่ตลอด และ ก็เกิดขึ้นต่อไป ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัยที่ต่างๆ กัน ดังนั้นความตาย จึงมี ทั้งโดยสมมติ คือ สมมติว่าตาย เช่น หมดลมหายใจ ถูกเผาไป ก็สำคัญว่าตาย และ ตาย ที่เป็น สัจจะความจริง คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป การดับของสภาพธรรมนั้น ก็ชื่อว่าตายแล้วทุกขณะด้วย ดังนั้น เพียงขณะที่จุติจิตเกิด ที่ชาวโลกเรียกว่าตาย ก็เป็นเพียงจิตที่ทำหน้าที่เคลื่อนไปจากความเป็นบุคคลนี้ จุติจิตเกิดขึ้น และ เมื่อยังมีกิเลส กิเลสนี้เอง ที่เป็นเหตุให้ยังมีการเกิด เพราะมีกิเลสและมีกรรมที่ได้ทำมาในอดีต จึงส่งผลให้กรรมใด กรรมหนึ่ง กรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียง นาม คือ จิต ที่เป็นปฏิสนธิจิตเท่านั้นที่เกิดต่อจากการตาย คือ เกิดต่อจากจุติจิต แต่ กรรมยังทำให้เกิด อีก คือ เกิดรูปที่เกิดจากกรรม เรียกว่า กัมมัชรูป ดังนั้น รูป อื่นในขณะนี้ ก็เกิดและดับไป ใหม่ตลอดเวลา พอถึงเวลาที่ตาย ก็มีการเกิดใหม่ ของนามและของรูปด้วย ที่เป็นกัมมัชรูป จากกรรมใหม่ในอดีตที่ทำให้เกิดตามกรรมว่า กรรมดีให้ผลก็เกิดในภพภูมิที่ดี มี กัมมัชรูปที่ดี และ ปฏิสนธิจิตที่ดี แต่ ถ้ากรรมไม่ดีให้ผล ก็เกิดกัมมัชรูปที่ไม่ดี และ ปฏิสนธิจิตไม่ดี และ เกิดในภพภูมิไม่ดี ตามสมควรแก่กรรม เพราะฉะนั้น ความเข้าใจแรก เบื้องต้น คือ รูปและนาม เกิดและดับ อยู่ตลอดเวลา ในขณะนี้ตายตลอดเวลา และ ไม่ใช่เป็นรูปเก่า นามเก่า แต่ใหม่เสมอเพราะเกิดเป็นนามใหม่ รูปใหม่ และ รูปทีเกิด ในขณะที่ปฏิสนธิจิตก็เกิด เป็นรูปใหม่ ที่เป็นรูปที่เกิดจากกรรรมเป็นปัจจัย ที่เรียกว่า กัมมัชรูป เพราะมีกรรม เปรียบเหมือน บิดา มารดา ที่ทำให้เกิดขึ้น ทั้งรูปและนามใหม่ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nopwong
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
starter123
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ ตอบได้ เคลียร์มาก หากการใช้ภาษาไม่เหมาะสมอย่างใดขออภัยใว้ณ ที่นี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของสภาพธรรม ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น สภาพธรรมมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ นามธรรม กับ รูปธรรม เป็นความจริงแต่ละหนึ่งๆ โดยไม่ปะปนกัน นามธรรมกว้างขวางมาก ครอบคลุมจิตทุกประเภท เจตสิกทั้งหมด และยังหมายรวมถึงพระนิพพานด้วย ส่วนรูปธรรม มีจริงๆ แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ มีมากถึง ๒๘ รูป เกิดขึ้นจากสมุฏฐานต่างๆ แล้วก็ดับไป เมื่อกล่าวสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น ย่อมหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก และ รูป เท่านั้น ทุกขณะที่เกิดขึ้น เป็นไป ก็มีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แม้แต่ขณะแรกในภพนี้ชาตินี้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ขณะนั้น ก็มีทั้งจิต เจตสิก และ รูป แต่ก็เป็นแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย และพร้อมกันนั้น ก็มีกลุ่มของรูป ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มของกาย กลุ่มของภาวรูป และ กลุ่มของหทยรูป จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงก็เป็นจริงอย่างนี้

คนตายไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในภพนั้นชาตินั้น สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น ไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขารขันธ์ และไม่มีจิต เกิดขึ้นเป็นไปเลย ใครจะกล่าวอย่างไร ก็ไม่เหมือนพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นรู้ตาม และตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ต่อไปอีก จึงควรอย่างยิ่งที่จะเห็นคุณของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
starter123
วันที่ 16 มี.ค. 2556

มนุษย์เรามี อวัยวะ 28 ประการ เหมือน เทวดา เปรต สัตว์นรก ฯ แต่ทำไมเรามองไม่เห็นพวกเขาครับ แต่เรากับเห็นสัตว์เดรัจฉาน (หมู หมา กา ไก่ ฯลฯ)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 16 มี.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

สำหรับสัตว์โลกนั้น มีความแตกต่างกัน ที่เกิดมาแตกต่างกัน เพราะกรรมที่ทำให้เกิดแตกต่างกันไป ทำให้เกิดในภพภูมิที่ต่างๆ กัน ซึ่งสำหรับเทวดานั้น เกิดจากผลของกุศลกรรมที่มีกำลัง ทำให้รูปร่างกายที่เกิดจากผลของกรรม มีความละเอียด ประณีต ตามกำลังของกุศลกรรมด้วย ทำให้การจะเห็นเทวดาได้ ก็จะต้องมี ตา คือ จักขุปสาทที่ดี ตามไปด้วย ซึ่ง มนุษย์ มีตา คือ จักขุปสาทที่ไม่ได้ละเอียดเท่าที่จะเห็นรูปร่างกายละเอียดของเทวดา จึงทำให้ไม่สามารถเห็นเทวดาได้ แต่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ด้วยกัน มีรูปร่างกายที่ไม่ละเอียดมาก เพียงพอที่ตามนุษย์ที่จะเห็นได้ ครับ ส่วนเทวดาก็ไม่สามารถเห็นพระพรหมได้ เพราะพระพรหมเกิดจากกุศลกรรมที่มีกำลังมาก กายก็ละเอียดมากเกินที่ตาของเทวดา จะเห็นได้ ครับ

นี่คือ ความละเอียดของกรรม และ พระธรรม ครับ ซึ่งเป็นไปตามเหตุและผล

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
starter123
วันที่ 17 มี.ค. 2556

ผมได้ศึกษาข้อมูลก่อนหน้านี้มาพอสมควร และมาพิจารณาโดยใช้ภูมิปัญญาของตนเองว่ามันน่าจะเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทุกอย่างยังไม่สอดคล้องกันเลย หลายประเด็น ท่าน khampan.a (ความคิดเห็นที่ 5) บอกว่า คนเราเมื่อตายแล้ว ไม่มีทั้งรูปและนาม "คนตาย ไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในในภพนั้นชาตินั้น สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น ไม่มีนามธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขารขันธ์ และไม่มีจิต เกิดขึ้นเป็นไปเลย"

หมายความว่า พอเราตายไปชาติหน้าก็เริ่มกันใหม่ทั้งรูปและนาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เลยหรือครับ? คนที่ระลึกชาติได้นี้ ผมคิดว่าเขาจำได้เพราะสัญญาขันธ์ไม่ไช่หรือครับ? ยกตัวอย่าง พระโมคลา ที่ท่านจำได้ว่ามีชาติหนึ่งท่านเคยทุบตีพ่อแม่ของตนเอง เนื่องจาก ภรรยาของท่านยุแหย่ ลักษณะอย่างนี้ท่านจำได้เพราะอะไรครับ? อย่างมนุษย์เรานี่ กว่าเราจะจำความได้ อายุก็ปาเข้าไป 6-7-8 ขวบ ถ้าน้อยกว่านั้นก็ไม่รู้เรื่องแล้ว (หมายความว่ารอจนให้ รูปทั้ง ๒๘ อย่างนี้โตเต็มที่ซะก่อน) แล้วอย่างพวกที่เกิดมาแล้วโตทันทีเลยนี้ละเช่น เทวดา เปรตฯ พวกเขาสามารถจำได้หรือไม่ว่าชาติที่แล้วพวกเขาเกิดเป็นอะไร

ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยอธิบายประเด็นนี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 8 ครับ

จากคำถามที่ว่า

หมายความว่า พอเราตายไปชาติหน้าก็เริ่มกันใหม่ทั้งรูปและนาม (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เลยหรือครับ?

-เมื่อบุคคลตายไปโดยสมมติ จากชาตินี้ ก็มีการเกิดขึ้นของรูปและนามใหม่ ทั้งปฏิสนธิจิต และรูปที่เกิดจากกรรม และ รูปอื่นๆ ที่เป็น รูปและนาม ใหม่เสมอ แม้ขณะนี้ ยังไม่ได้ตาย ก็มีการเกิดขึ้นและดับของสภาพธรรม ซึ่งเกิดสภาพธรรมที่เป็น รูปและนาม ใหม่เสมอ เช่นเดียวกัน ครับ

จากคำถามที่ว่า คนที่ระลึกชาติได้นี้ ผมคิดว่าเขาจำได้เพราะสัญญาขันธ์ไม่ไช่หรือครับ? ยกตัวอย่าง พระโมคลา ที่ท่านจำได้ว่ามีชาติหนึ่งท่านเคยทุบตีพ่อแม่ของตนเองเนื่องจาก ภรรยาของท่านยุแย่ ลักษณะอย่างนี้ท่านจำได้เพราะอะไรครับ? อย่างมนุษย์เรานี่กว่าเราจะจำความได้ อายุก็ปาเข้าไป 6-7-8 ขวบ ถ้าน้อยกว่านั้นก็ไม่รู้เรื่องแล้ว (หมายความว่ารอจนให้รูปทั้ง ๒๘ อย่างนี้โตเต็มที่ซะก่อน) แล้วอย่างพวกที่เกิดมาแล้วโตทันทีเลยนี้ละเช่น เทวดา เปรตฯ พวกเขาสามารถจำได้หรือไม่ ว่าชาติที่แล้วพวกเขาเกิดเป็นอะไร

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

เกิดในสวรรค์หรือนรก จะยังจำได้ไหมว่าชาติก่อนเคยเป็นใครมา

ความทรงจำของคนเราในชาติก่อน

การระลึกชาติของเทวดา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
starter123
วันที่ 18 มี.ค. 2556

ตามหลักทางพุทธศาสนาแล้ว ท่านบอกว่าชีวิตในชาติหน้าเกิดจากกรรมในปัจจุบัน ทำบุญมากๆ แล้วจะได้เกิดเป็นเทวดา ฝึกสมาธิมากๆ จะได้เกิดเป็นพรหม ฆ่าสัตว์ทำบาปมากๆ จะได้เกิดเป็นเปรต หรือสัตว์เดรัชฉาน อย่างสมมติเราฆ่าสัตว์ ทำไมมันจะต้องมีผลต่อรูป ทั้ง ๒๘ ของเราครับ (อวินิพโภครูป ๘ เอกันตกัมมชรูป ๙ ฯ) หมายความว่า อาจทำให้หูไม่ดี ตาไม่ดี ผิวไม่สวย ฯลฯ เกี่ยวกันยังไงครับ?

เวลาเราทำบุญให้ทานหมือนกัน ทำไมต้องไปเกิดเป็นเทวดา หมายความว่า ทำไมเวลาเราทำบุญมากๆ แล้วมีผลทำให้ร่างกายเราละเอียดขึ้นมา? เกี่ยวกันยังไงครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 18 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Patikul
วันที่ 18 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
khampan.a
วันที่ 18 พ.ค. 2556

เรียน ความคิดเห็นที่ 10 ครับ

สิ่งที่จะเป็นประโยชน์คือ เข้าใจในเหตุในผลของธรรม ในเมื่อเป็นเหตุที่ดี คือ เป็นกุศลกรรม เวลาที่กุศลกรรมให้ผล ก็ย่อมให้ผลเป็นผลที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ ตามความแก่กุศลกรรมนั้นๆ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นเหตุที่ไม่ดี คือ อกุศลกรรม แล้ว เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ก็ย่อมให้ผลเป็นผลที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ โดยไม่มีใครทำให้เลย เพราะเจตนาที่ไม่ดีที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น ก็จะเบียดเบียนตนเอง คือ ให้ผลที่ไม่ดีกับตนเองเท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
thanrawit
วันที่ 19 ธ.ค. 2561

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
่jurairat91
วันที่ 31 ส.ค. 2564

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 31 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ