จิตเกิดมาจากอะไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพรู้ จิตเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ความหมาย คือ จิตจะเกิดขึ้น จะต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย จิตจึงจะเกิดได้ เพราะฉะนั้นจิตไม่ได้เดินทางมาจากไหน แต่จิตอาศัยสภาพธรรม คือ เจตสิก เกิดขึ้นร่วมด้วย จึงทำให้จิตเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เกิดความโกรธ มีจิตที่มีความโกรธเกิดร่วมด้วย คือ มีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตนั้น ทำให้จิตที่เป็นอกุศลจิตเกิดขึ้น จิตไม่ได้มาจากที่ไหน เดินทางมาจากไหน แต่ จิตเกิดขึ้นได้ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม คือ มี เจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ครับ นี่แสดงถึงเหตุใกล้ ที่ทำให้จิตเกิด ครับ
ส่วน เมื่อว่าโดยละเอียด จิตมาจากไหน อย่างไรนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับว่า เพราะอาศัยอวิชชา ความไม่รู้ จึงทำให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมต่างๆ เพราะอาศัยอวิชชา ความไม่รู้ จึงมีการทำกรรมที่ดีและไม่ดี และ กรรมนี้เองที่เป็นปัจจัยให้เกิดสภาพธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก และ รูป จิตจึงไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากใจที่มีกิเลส มีความไม่รู้ จึงทำให้เกิดจิตแต่ละขณะเป็นไปอย่างนี้เรื่อยไป ไม่ขาดสาย ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ คือ การสืบต่อของสภาพธรรม มี จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นต้น ครับ
จิตจึงไม่ได้มาจากที่ไหน แต่มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น การดับทุกข์คือ การไม่มีสภาพธรรมอะไรเกิดขึ้นเลย คือ ไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูป ซึ่งก็ด้วยการเจริญอบรมปัญญาและ รู้จักจิตตามความเป็นจริงที่ว่า ไม่ใช่จิตของเรา และ เราก็ไม่ได้มีจิต เพราะ ไม่มีเรามีแต่ธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น การเข้าใจเช่นนี้ ย่อมไถ่ถอน ความยึดถือว่ามีเราได้ ในอนาคต จนดับกิเลสได้ในที่สุด อันเป็นต้นเหตุของการเกิดขึ้นของจิต ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีอะไรเลยที่เกิดมาลอยๆ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีการบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ จิตก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นก็ไม่พ้นไปจากจิตเลย จิตเกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น ต้องมีที่เกิดของจิต (สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕) มีอารมณ์ที่จิตรู้ มีเจตสิกธรรมเกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น เป็นต้น อย่างเช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่าง คือ มีจักขุปสาทะ เป็นที่เกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีสีเป็นอารมณ์ พร้อมทั้งมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น
แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างว่า เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม อย่างแท้จริง จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิตเกิดเพราะปัจจัยไม่ได้มาจากไหน เปรียบเหมือนไม้ขีดไฟ เพราะมีการกระทบกันจึงทำให้เกิดไฟ ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านครับ (ขอนำความรู้ไปทำความเข้าใจก่อน)
ขออนุโมทนา
ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ผมเข้าใจว่าเจ้าของกระทู้ต้องการถามว่าจริงๆ ต้นกำเนิดแต่แรกเริ่มจิตมาจากไหน? ถึงมาเป็นจิต ถ้าบอกว่ามาจากสภาพธรรมที่เรียกว่าเจตสิกร่วมด้วย ก็จะถามต่อว่าสภาพธรรมมาจากไหน? ทั้งหมดทั้งมวลก่อนจะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งเพื่อเหตุหนึ่งตามหลักปฎิจจสมุทปบาท ก็จะถามอีกว่าต้นกำเนิดของต้นขั้วมาจากไหนก่อนจะมาเป็นจิต
คุณ wannee ว่าเปรียบเหมือนไฟที่มาจากไม้ขีดไฟ แล้วไม้ขีดไฟมาจากไหน? ซึ่งเปรียบเทียบกับจิต ซึ่งทุกท่านอธิบายมา ผมว่าเป็นปัจจัยกลางเหตุผลมากกว่า แต่ยังไม่สามารถอธิบายปัจจัยต้นได้ว่าจิตมาจากไหนกัน? ขอทักท้วงในคำตอบนะครับคงไม่ว่ากันนะครับหากต้องการแนะนำประการใดขอน้อมรับครับ
ขอบคุณครับ
ขอแสดงความคิดเห็นว่า ก็รู้กันอยู่ว่าจิตเป็นธาตุรู้ ถ้าเอาชื่อว่าจิตออก ก็เป็นเพียงธาตุรู้ และก็มืดสนิท ธาตุนี้เกิดมายังไงไม่ทราบได้ เพราะที่สุดของเบื้องต้นและเบื้องปลายย่อมไม่ปรากฏ แต่มีอยู่จริง แถมยังสั่งสมสันดานเป็นคนโน้นคนนี้เป็นสัตว์ ฯลฯ เมื่อขณะนี้มีธาตุรู้มีอยู่แล้วประโยชน์อันใดที่จะไปรู้ว่า ธาตุรู้นี่เกิดมาจากอะไร ที่น่าสนใจกว่าคือ ธาตุนี้มีขึ้นมาทำไมและแปลกมั๊ยที่เกิดและมีอยู่ จึงมีคุณ-ผมอยู่อย่างนี้ ความสนใจน่าจะเป็นไปว่า จะดับจิตนี้ได้อย่างไร ดีกว่ามั๊ยครับ .....ฯลฯ
ผมได้อ่านได้เรียนธัมมะมายังรู้ไม่มาก ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องจิตว่ามาจากไหนนะครับ คงจะเริ่มจาก จิตจุติ เกิดเป็นคน ที่มี รูป, ขันธ์ทั้ง ๕ , ธาตุ ๔ ,อินทรีย์ทั้ง ๖ (ประตู) ประชุมกันจึงเกิด จิตขึ้นมาเป็นประทาน ในรูปนี้ (คนนี้) ถ้าหากขาดอันหนึ่งอันไดในองค์ประชุมนี้ จิตก็คงไม่เกิด ถูกไหมครับ ถ้าไม่ถูกอยาก ให้ผู้รู้ ช่วยอธิบายด้วย
ขออนุโมทนาครับ
จิตเกิดจากสภาพธรรมทั้งหลายมาประชุมกัน ซึ่งไม่ใช่เพียงจุติจิตเท่านั้น จิตอื่นๆ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดจิตประเภทต่างๆ ด้วย ครับ
ขออนุโมทนา
คิดว่า...ท่านผู้รู้ในที่นี้ตอบชัดเจนแล้วค่ะ. ขออนุโมทนาค่ะ เมื่อก่อนเคยสงสัยมากเหมือนกันค่ะ แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ดีไปกว่า เพราะเหตุและปัจจัย.....ได้เลย มีเหตุผลที่สุดแล้ว ปฎิจจสมุปบาท คือคำตอบที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องพิจารณาให้ดีๆ ค่ะ (ส่วนตัวก็ยังถือว่ารู้แค่ผิวเผินมากค่ะ) อย่างที่คุณ wannee ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่อง ไม้ขีดไฟ เมื่อถูกจุดจนติดไฟ ตามความเข้าใจ...เปรียบเสมือน ไฟ คือ จิต.เมื่อไฟติด....เหตุปัจจัยที่ทำให้ไฟที่ติดครั้งแรก ได้จบลงแล้วในทันที แต่ไฟที่ยังคงติดอยู่ ก็เพราะยังมีเหตุปัจจัยใหม่ที่ทำให้ไฟยังติด ดังนั้นที่เราเห็นว่า ไฟยังคงลุกโชนอยู่. ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัยเดิมแน่นอน.
สรุปว่า...ไฟที่เราเห็นว่ามันยังคงติดอยู่อย่างต่อเนื่อง. จึงไม่ใช่ไฟที่จุดติดครั้งแรก. แต่เพราะมีเชื้ออยู่คือก้านไม้ขีด อากาศ ฯลฯ ที่กระทบกันอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นเหตุปัจจัยอยู่ และถ้าก้านไม้ขีดถูกไฟเผาไฟม้จนหมด.อีกทั้งไม่มีการนำไม้ขีดก้านใหม่มาต่อไฟให้ ยังคงติดอยู่ เท่ากับว่า. เชื้อไฟนั้นหมดลง. คงเปรียบเสมือน นิพพาน. (หมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นมาอีก) แต่สรรพสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด. ยังคงมีจิตเกิดดับอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีเชื้อ คือ เหตุปัจจัย. ก็เสมือนไม่ยอมให้ไฟดับเพราะมีการนำไม้ขีดก้านใหม่ๆ มาต่ออยู่เรื่อยๆ (คิดๆ ดูน่าเหนื่อย) และถ้ายังสงสัยว่า....แล้วไม้ขีดเกิดขึ้นอย่างไร. คงต้องย้อนกลับไปหาสาเหตุของการเกิดไม้ขีดดู มันก็มีเหตุปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นของไม้ขีด. ไม้ขีดก็เปรียบเสมือนจิต ได้เหมือนกัน. เมื่อยังมีการผลิตไม้ขีดอย่างต่อเนื่องไม่หยุด. ก็ยังคงเกิดไม้ขีดอันใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ ไม้ขีดอันใหม่จึงไม่ใช่ไม้ขีดอันแรก. และจนกว่าจะหยุดการผลิต. เท่ากับว่า หมดเหตุปัจจัยให้เกิดไม้ขีดขึ้นอีก การหยุดการผลิตไม้ขีด หรือการหยุดต่อไฟด้วยไม้ขีดอันใหม่ เปรียบเสมือนการสร้างเหตุปัจจัยแห่งการยุติการเกิดขึ้นใหม่ของทั้งไม้ขีดและไฟ เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ ได้ หรือดับเองได้ ทั้งหมดมาจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้นค่ะ ถ้ามีความเข้าใจผิด ต้องขออภัย และขอคำอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกเพิ่มเติมจากผู้รู้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ความสืบเนื่อง ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ใช่มั๊ยครับ ท่านอาจารย์ทั้งหลาย จิต เจตสิก เป็นสิ่งที่มองด้วยตา ไม่เห็น อยู่ๆ จะเกิดจิต เจตสิก ขึ้นมา ดุจเปลวไฟ ที่ออกมาจากไม้ขีดขัดสีกัน ผมว่า ไม่ถูกนะครับ (แต่ถ้าเอาไปเปรียบเทียบ เรื่องสัตว์ตายแล้วเกิด อย่างนั้นได้ครับ คือเห็นว่า เปลวไฟ ไม่มี อยู่ๆ ก็มีเปลวไฟเกิดขึ้น เพราะการขัดสี อยู่ๆ ก็มีทารกเกิดออกมา ก่อนหน้านี้ ก็ไม่มี เห็นมีอยู่แต่สองสามีภรรยา คือเอาการมองเห็นด้วยตา เป็นเกณฑ์)
ปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นมาได้ในชาตินี้ ก็เพราะเคยมีจุติจิต ได้เคยเกิดขึ้นและดับไปจากชาติก่อนหน้าเป็นอนันตรปัจจัย ก็แล้วกัน และปัจจัยอื่นๆ อีกก็ปัจจัย ๒๔ นั่นแหละ สืบสาว ไปเรื่อยๆ เจ้าของกระทู้ ก็จะทราบว่า มันหาจุดต้นไม่เจอ จะว่ามหัศจรรย์ มันก็มหัศจรรย์นะ แต่ในจักรวาลนี้ สิ่งที่หาจุดกำเนิดไม่เจอมันก็มี พอจะเป็นตัวอย่าง พอมีนะ เช่นการหาจุดเริ่มของแผ่นดิน เจ้าของกระทู้อาศัยการเดินทาง เพื่อจะหาจุดเริ่มของแผ่นดิน เดินทางข้ามภูเขา ข้ามทะเล ข้ามหุบเหว เดินทางไปกี่ร้อยปี ก็หาจุดเริ่มต้นของแผ่นดินไม่ได้ เพราะโลกมันกลม หาไปก็ตายเปล่า กำเนิดแรกของจิต ผมว่าคงเป็นดุจเดียวกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าเข้าใจจิตเห็นก็จะเข้าใจจิตอื่นได้ เช่น เห็นเป็นธาตุอย่างหนึ่งเกิดเพราะมีตา มีแสงที่กระทบสิ่งที่ถูกเห็น มีสิ่งที่ถูกเห็น มีการให้ผลของกรรม และทุกปัจจัยก็คือการให้ผลของกรรมจิตเห็นจึงเกิดเห็น อยากเห็นโดยไม่ดับไปไม่ได้ ไม่อยากเห็นก็ไม่ได้ บังคับไม่ได้ มีปัจจัยพร้อมจึงเกิด เห็นแล้วจิตนี้ก็ดับไป กรรมอื่นก็ให้ผลอีก สืบต่อจิตอื่นก็เกิดอีก แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละธาตุ จิตอื่นก็เป็นเช่นนี้ จิตแรกที่เกิดก็เป็นเช่นนี้ มีรูปธาตุและมีนามธาตุ พร้อมด้วยการให้ผลของกรรม เกิดดับสืบต่อ เช่นกระแสไฟฟ้าและทุกสิ่งอย่าง เกิดเพราะมีปัจจัยแล้วดับไปและก็เกิดอีกตราบที่ยังมีปัจจัย พร้อมก็เกิดดับเรื่อยไป จึงเรียกได้ว่าเป็นเพียงธรรมเป็นอนัตตา
ถึงแม้จะรู้คำตอบว่าจิตเกิดได้อย่างไร แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรครับ เหมือนกับที่เรารู้ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จักรวาล อวกาศ ว่าเกิดมาจากอะไรจากทางวิทยาศาสตร์ (ถึงยังไม่หมดทุกอย่าง บางอย่างกำลังค้นคว้าอยู่ และอย่างอื่นก็ยังไม่รู้คำตอบ) ตอนนี้ก็รู้แล้วแล้วไงต่อครับ ไม่เห็นตื่นเต้นกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จักรวาล อวกาศเลยใช่มั๊ยครับ ยกตัวอย่างสัตว์ทะเลหรือพืชทะเลหรือบางอย่างไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่พืชตามที่ทางวิทยาศาสตร์ให้มา บางอย่างอยู่ในน้ำที่มืดๆ ไปนานๆ ดวงตาก็บอด ลูกกะตากลายเป็นสีขาว หรือตาหายไป น่าจะเกี่ยวข้องกับรูปเกิดจากจิต จิตเกิดจากรูป คำตอบก็คือมีเหตุปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น ตอนแรกๆ น่าตื่นเต้นน่าศึกษา ไปนานๆ ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา
สำหรับผม ขอตอบตามความเข้าใจที่ฟังธรรมมานะครับ ว่าสิ่งที่น่าอัศจรรย์ น่าค้นหา น่าศึกษาคือ ความเกิดดับของสภาพธรรม ทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ความชั่วร้ายความเห็นแก่ตัว ความดีของใจตนเอง กุศล อกุศล ความติดข้องยึดมั่น ความทุกข์เกิดมาจากไหน ถ้าดับความชั่วร้าย กิเลสของตนได้อย่างถาวรมันน่าอัศจรรย์กว่าตั้งเยอะครับ
ถ้าจิตเกิดแล้วมีความชั่วร้ายในจิต สู้ไม่ต้องมีจิตเกิดจะดีกว่า จิตเริ่มแรกเกิดมาจากไหนแต่ก็ดับไปแล้ว (ตามเหตุปัจจัย) ตอนนี้จิตก็กำลังเกิดแล้วดับไปตามเหตุปัจจัยแต่ถ้าจิตเกิดได้ จิตก็ดับ (ไม่เกิด) ได้เช่นเดียวกัน (ตามเหตุปัจจัย) ด้วยการเจริญมรรคมีองค์ ๘ เข้าใจธรรมมะที่กำลังปรากฎ ให้ศึกษาค้นคว้าพิจารณา ถ้านิพพานแล้วจะได้ไม่สงสัยอีกเลยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามครับ ตามความเห็นของผมที่ฟังธรรมมานะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยนะครับ ขอเชิญร่วมแสดงความเห็นครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผมคิดว่าเข้าใจว่าคำถามหมายถึง จิตดวงแรกเริ่มสุดที่ไม่ใช่จิตอื่นหรือปฏิสนธิจิตอื่นที่เกิดหลังจากปฏิสนธิจิตดวงแรกเกิดมาก่อนหน้านี้แล้วครับ คล้ายไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันแต่คำถามนี้อาจยากกว่าตรงที่มีจุดสุดท้ายคือนิพพานแต่ไม่มีจุดเริ่มต้นแรกเริ่ม เคยสงสัยเหมือนกันแต่ในใจคิดว่าความรู้ธรรมะนั้นเป็นอนัตตา ที่เรามีให้เรียนอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นส่วนจำเป็นสำหรับการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุและปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานหากไม่มีคนเจาะจงถาม พระองค์ก็คงไม่ทรงสอน เหมือนใบไม้ในป่าหิมพานต์ เสมือนว่าครอบคลุมเรื่องราวที่เริ่มจากจิตที่มีมาก่อนนี้แล้วจนถึงสภาพนิพพานซึ่งถือว่าเป็นที่สุด ก่อนจิตดวงแรกเกิด และ สภาพหลังนิพพานมีความสัมพันกันหรือไม่ โดยเฉพาะ ณ เวลาที่จิตของสัตว์ในทุกภพภูมิหลุดพ้นหมดแล้ว แม้นจะยาวนานเพียงไรก็ตาม มีอยู่หรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ที่มั่นใจได้คือไม่เกี่ยวข้องกับการดับทุกข์เลย เนื้อหาธรรมมะเหล่านั้นจึงอาจจะไม่ถูกครอบคลุมในส่วนที่เราเรียนอยู่ในปัจจุบัน เพราะจุดมุ่งหมายหลักที่มีเพียงแค่นิพพานนั้นก็ยากที่จะประมาณด้วยจำนวนชาติเกิดที่นับไม่ถ้วนแล้วครับ
จิตมีจริง
รูปมีจริง
เจตสิกมีจริง
นิพพานมีจริง
นอกนั้นไม่มีจริงครับ
เราจึงต้องควรทำความเข้าใจสิ่งที่มีจริงให้รู้แจ้ง ประจักษ์การเกิดดับซึ่งเกิดขึ้นแต่ละขณะปัจจุบัน มันเกิดขึ้นเพราะมีเหตุแน่ๆ ตั้งแต่เหตุที่หยาบ จนถึงเหตุที่ละเอียด ประณีตประณีต จนมนุษย์อย่างเราไม่สามารถจะเข้าใจด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง การเล่าให้ฟังได้ แต่จากที่ได้ศึกษาทางโลก สสาร หรือ ธาตุก็มีเหตุตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์โดยย้อนถอยไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่สันนิษฐานกันว่าเกิดระเบิดใหญ่ขึ้นจนเกิดเป็นจักรวาลต่างๆ ต่อมาพอสภาพอากาศเหมาะสมจึงเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นโดยวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนเป็นมนุษย์และต่อไปในอนาคตรูปร่างก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอีก เหมือนกับพุทธพจน์ว่า เสมือนนายช่างผู้สร้างเรือน สร้างไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
ฉะนั้นตามความเข้าใจของผม คือ จิตแยกโดยนัยของชาติ ๔ ชาติ กุศลและอกุศลเป็นเหตุ วิบากเป็นผล กิริยาไม่เป็นทั้งเหตุและผล ฉะนั้นต้นตอของการเกิดของจิตที่ทำให้เกิดผลคือ กุศลและอกุศล
ไม่ทราบตรงประเด็นหรือไม่
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ช่วงนี้ไม่ค่อยจะว่าง เรื่องจิต น่าสนใจจริงๆ นะครับ ผมก็พยายามเรียนรู้อยู่อ่านตำราบ้าง สังเกตเจ้าของบ้าง สักวันหนึ่ง เราคงจะเข้าใจจิตเจ้าของ
ขอเพิ่มเติมครับ มี กรรม อุตุ ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดรูป ถ้าจำไม่ผิดครับ ควรศึกษาเพิ่มเติมนะครับ ต้องขออภัยครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นค่ะ
จิตนั้นจะสืบเสาะหาเบื้องต้นหรือต้นกำเนิดนั้นหาไม่ได้ แต่หาเบื้องปลายได้ การเวียนว่ายตายเกิดจึงหมุนวนเป็นวงกลมดังในหลักปฏิจจสมุปบาท การค้นหาต้นกำเนิดของจิตจึงเป็นอจิณตรัย ครุ่นคิดจริงจังหาไปมากๆ ค้นหามากๆ เข้าไม่เลิกลา ก็จะแย่เอา ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์คือการเดินงานหาเบื้องปลายของแต่ละคน ใครบรรลุโสดาปัตติมรรค คือ มรรค ผล เบื้องต่ำได้สำเร็จ ผู้นั้นก็หาเบื้องปลายของตนเจอแล้วค่ะ
ผมก็เคยสงสัยและยังสงสัยอยู่ แต่เมื่อกี้เกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าถามว่าจิตมาจากไหน หรือถามว่า จิตมีต้นกำเหนิดมาจากไหน ตามความเห็นของผม ความเชื่อโดยนัยของคำถาม หรือสมมติฐานของคำถาม คือ มองว่า จิตดวงนี้ (ดวงปัจจุบัน) กับจิตในอดีตเป็นจิตดวงเดียวกัน แม้ว่าบางคนอาจได้เรียนมาว่า เป็นจิตคนละขณะแต่เวลาเกิดข้อสงสัยลัษณะนี้ อาจจะมีความรู้สึกแบบอัตตาต่อเนื่อง ผสมเกิดเป็นความสงสัยในทางปริยัติ จิต เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกประกอบกันขึ้น โดยนิยามนี้
หากพิจารณาให้ดีๆ จะเห็นว่า คำถามที่ว่า จิตขณะนี้ จิตขณะเมื่อวาน จิตขณะเดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ชาติที่แล้ว .... มีต้นกำเหนิดมาจากใหน มันมีความหมายเดียวกัน เพราะจิตทุกดวง ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ต่างก็เกิดและดับไปอย่างรวดเร็วและการเกิดก็เกิดจากเหตุปัจจัย (ส่วนผสม,ส่วนประกอบ)
ดังนั้น ต้องแปลงคำถามให้เข้าจุดไปอีก เป็นว่า มีอะไรไหมที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย (ส่วนผสม,ส่วนประกอบ) และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หากผู้ถามคำถามมีความเห็นว่าจิตดวงต้นตอกับจิตดวงปัจจุบันสืบต่อกันแบบเส้นเชือกที่ไม่ขาดสายก็ตอบได้ว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าจิตแต่ละดวงไม่ได้สืบต่อแบบนั้นมันมีเกิดและดับไปและเกิดอีกไม่ได้ติดกันเป็นสาย ถ้าอยากทราบว่าจิตเกิดขึ่นมาได้อย่างไรก็ต้องหันมาศึกษาว่าจิตขณะเมื่อกี้ที่ผ่านไปแล้วและจิตขณะนี้ต่างกันอย่างไร เกิดอย่างไร เปลี่ยนไปอย่างไรก็จะเป็นการเริ่มต้นศึกษาที่ดีสำหรับคำถามนี้
แต่ถ้าเป็นถามนัยว่า มีอะไรไหมที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย (ส่วนผสม,ส่วนประกอบ) และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ
แต่ก็เข้าใจว่าคำถามประเภทนี้เป็นอจินไตย ใช่หรือเปล่าครับ
ขอนุโมทนากับความเห็นที่ 11 ครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่การที่คนมักจะถามหาต้นตอ น่าจะมีเหตุผลทางด้านจิตวิทยาบางประการ เพราะในบางกรณีคนเราสามารถหาคำตอบได้จากคำถามที่ว่ามันเกิดหรือมีต้นตอมาจากไหน แต่ในบางปัญหาต้องยอมรับและชี้แจงให้เข้าใจตรงกันว่า ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการคิดนึก ซึ่งเป็นปัญหาอจินไตย
กล่าวมาถึงตรงนี้ผมก็เกิดสงสัยเสียเองว่า ฌานวิสัย เป็นอจินไตย แต่คนที่ได้ฌานจะถือว่ารู้ถึงฌานวิสัยหรือไม่ เรื่องของโลกจักรวาล เป็นอจินไตย หมายความว่าไม่สามารถรู้ได้ด้วยความคิดนึก หรือไม่ไม่มีทางรู้ได้เลยไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ความรู้ดีครับ
ขออนุโมทนา
หายไปนานครับ ไปเฝ้าสังเกตจิตตัวเอง จิตมันจะเกิดต่อเมื่อ มีการกระทบทาง ตา หู จมูก กาย ความคิด ถูกไหมครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ 33 ครับ
ไม่ใช่เรื่องการไปเฝ้าสังเกต เพราะนั่นเป็นตัวตน เป็นความอยากต้องการที่จะทำก็ผิดทางแล้ว ที่ถูกต้องแล้ว คือ ฟังให้เข้าใจว่า จิตมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และ ไม่ใช่เรา ด้วย ครับ