สมาชิกใหม่ครับ ฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยนะครับ

 
สายฝน
วันที่  28 มี.ค. 2556
หมายเลข  22697
อ่าน  1,165

ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการทำงาน งานมีมาตรฐานสูงมาก เกิดภาวะเพียรพยายามแล้ว แต่ยังทำงานได้ไม่สำเร็จ รู้สึกว่ากำลังถดถอย ปกติศรัทธาในหลักธรรมะ แต่ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ขอคำแนะนำด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 29 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตที่เป็นไปทุกขณะ ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม มีธรรมเกิดขึ้น เป็นไปอยู่ตลอด แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน ตามปกติชีวิตของคฤหัสถ์ ก็จะต้องมีการประกอบอาชีพการงาน ตามความถนัดตามความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อประคับประคองให้ชีวิตเป็นไปอย่างไม่เดือดร้อน และควรที่จะได้พิจารณาว่า การประกอบอาชีพของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ไม่นำมาซึ่งความเดือดร้อนใจในภายหลัง ก็คือ ประกอบอาชีพสุจริต แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม กระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ไม่กระทำในสิ่งใดๆ ที่เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แม้จะท้อแท้จากการทำงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นธรรมดา แต่ขอให้มีความตั้งใจที่จะกระทำดียิ่งๆ ขึ้น พร้อมกันนั้นก็ไม่ละเลยโอกาสแห่งการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลจริงๆ คือ ปัญญาความเข้าใจถูกจะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี ให้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม งดเว้นในสิ่งที่ผิด ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ในชีวิตประจำวัน ดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ด้วยกุศลธรรม อยู่ด้วยเมตตาในท่ามกลางหมู่ชนที่เต็มไปด้วยอกุศล

ภารกิจหน้าที่ที่สำคัญที่ทุกคนควรกระทำคือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ และ สะสมกุศล ต่อไป ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสายฝน และ ขอยินดีต้อนรับ เพื่อฟังพระธรรม

ศึกษาพระธรรม ร่วมกันต่อไป ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

รู้สึกท้อแท้ในการทำการงาน

รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ รู้สึกท้อแท้มากค่ะ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 29 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสมากที่จะเกิดอกุศลธรรม เกิดอกุสลจิต มีโทสะ ความเครียด ความไม่สบายใจ เป็นต้นได้ เป็นธรรมดา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม และ เมื่อเกิดอกุศลก็ย่อมบั่นทอนจิตใจ ให้เกิดอกุศลประการต่างๆ ตามมา ซึ่ง อาศัยพระธรรมในขั้นการฟัง ที่เกิดปัญญาความเห็นถูก ก็จะทำให้เบามากขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงจะไม่มีกิเลส ไม่มีอกุศลแบบเดิมที่จะทำให้เครียด ก็ยังมีเป็นธรรมดา แต่ก็เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เกิดคืออะไร

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น จึงไม่ใช่ยารักษาโรค ที่จะทำให้โรค คือ กิเลสให้หายได้ทันที เพียงทานเข้าไป เพราะ โรคบางโรค เป็นโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง ที่เป็นโรคนี้มานานแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าเป็นโรค และ หากว่า เพียงเพิ่งพบหมอ และ หมอก็เพิ่งจ่ายยา บางครั้งก็ไม่ค่อยทานยา หรือ ทานยาที่ผิดก็มี ทานยาผิดขนาด ทานยาไม่ตรงตามที่หมอแนะนำก็มี หรือ แม้ทานยา ก็เพิ่งเริ่มทาน ซึ่งโรคร้ายแรง เรื้อรัง นี้ ต้องใช้เวลาที่รักษายาวนาน ด้วยการทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง โรคทางกายบางโรค ก็ต้องทานยาตลอดชีวิต เพียงทุเลา หรือ โรคบางโรคก็ต้องทานยายาวนานหลายสิบปีกว่าจะหายขาด นี่โรคทางกาย ส่วนโรคทางใจ คือ กิเลส สะสมมานานแสนนานนับชาติไม่ถ้วน กิเลสที่สะสมมา หากเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ จักรวาลก็ไม่เพียงพอให้เก็บ

การจะรักษาโรคกิเลส ก็ด้วยปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เท่านั้น และ ในเมื่อกิเลสมีมากอยู่ ฟังพระธรรมก็ไม่มาก ถึงฟังมาก ก็เพียงไม่กี่ปี เทียบกับกิเลสที่มากมาย ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้ เพียงค่อยๆ รู้ขึ้น ดังนั้น การศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา ปัญญาเป็นพืชที่เติบโตช้า และ ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ชาตินี้ เพิ่งเริ่มฟังพระธรรม ปัญญายังน้อยมาก กิเลสก็เป็นธรรมดา สิ่งที่ควรเข้าใจ ความจริงที่เกิดขึ้น ในการทำงาน ในการดำเนินชีวิตประจำวัน คือ กิเลสมีมาก และเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ปุถุชนทุกคน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะต้องเครียด ไม่สบายใจ และ เกิดกิเลสประการอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะโทสะ แม้โลภะ ความติดข้อง ก็เกิดขึ้น และ ก็เป็นกิเลสเหมือนกัน แต่ก็ไม่เดือดร้อน ซึ่งโลภะก็เป็นต้นเหตุของโทสะ ความเครียด เพราะถ้าไม่ติดข้องในความสบาย ความสมหวัง เมื่อไม่ได้ดังหวัง หรือ หวังอยู่ไม่เป็นไปตามที่หวังก็เครียด

ดังนั้น แทนที่จะหาทางไม่ให้กิเลสเกิด ไม่ให้ความเครียดเกิด ก็เข้าใจว่าห้ามไม่ได้ ยังไงกิเลสก็เกิดขึ้น ก็ให้เข้าใจว่า อยู่กับกิเลสด้วยความเข้าใจว่า เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิด เครียดก็จะต้องมี เพราะไม่มีปัญญาที่จะไม่ทำให้เครียด หนทางที่ถูกไม่มีอย่างอื่น และ ไม่มียาที่จะทำให้หายโรคร้ายนี้ทันที เพราะต้องกินยาต่อเนื่อง ยาวนาน คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น อาศัยเวลาว่าง ก็เสพคุ้นกับสิ่งที่ควรเสพ ก็จะทำให้ตรึก นึกคิดเป็นไปในทางกุศลบ้างในขณะที่ฟังพระธรรม ส่วนต่อไปจะเกิดเครียดก็ห้ามไม่ได้ อยู่กับอกุศลด้วยความเข้าใจ ดีกว่าจะหาหนทางที่จะไม่ให้เครียดเกิด ก็จะยิ่งเครียด เพราะทำไม่ได้ ทุกคนก็มีความเหนื่อย ไม่สบายใจ และ ก็ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไป เพียงแต่ผู้ที่ทุกข์ใจแล้ว จะทำอย่างไร ก็ด้วยการแสวงหายาที่รักษาโรคที่ดี คือ อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม แบ่งเวลาให้กับชีวิต คือ จิตที่เกิดกุศลจิตบ้าง และ อีกหลายล้านชาติ ก็จะเป็นผู้มั่นคง มีศรัทธาจริงๆ ที่จะมากไปด้วยปัญญา และ ดับกิเลสที่จะไม่ให้เหนื่อยใจ ทุกข์ใจได้ ในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สายฝน
วันที่ 29 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณพระอาจารย์มากๆ ครับ วันนี้ก่อนอ่านคำแนะนำ ผมก็เครียดทั้งวัน แต่คิดว่ามีสติที่ดีขึ้น และพยายามคิดว่า เราได้พยายามทำให้ดีที่สุด ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ควรเป็นเหตุให้ซ้ำเติมความเครียด และตอนเย็นเจ้านายมาคุยกับผมถามผมว่า มีความสุขไหม ผมตอบไปอย่างมีสติว่า มีทั้งสุขและทุกข์ปนๆ กันไป

ผมไม่ได้คาดหวังอะไร จะพยายามสำรวมกาย วาจา ใจ และใช้ศีล 5 เป็นเครื่องมือต่อไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 30 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
oom
วันที่ 30 มี.ค. 2556

ปัญหาจากการทำงานเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีปัญหาก็ต้องค่อยๆ พิจารณาดูว่ามันเกิด จากอะไร แล้วแก้ไข ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ยังเหมือนเดิม เราก็ต้องปล่อยวาง ทำใจให้ได้ อย่าไปยึดติด เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีใครสุขตลอดไป และ ไม่มีใครที่จะทุกข์ตลอดไป ขอให้อดทน และค่อยๆ คิด อย่าท้อ ปัญหาและอุปสรรค คือความสำเร็จของงาน ขอให้สู้ๆ ๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 31 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 26 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ