ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศพม่า ๔ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ [ย่างกุ้ง-ชเวดากอง]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  31 มี.ค. 2556
หมายเลข  22707
อ่าน  2,539

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หลังการเที่ยวชมเมืองพุกาม และ ชมพระอาทิตย์ตก ที่ ทุ่งพระเจดีย์พุกามในตอนที่แล้ว

คณะของเรายังคงพักค้างคืนที่พุกามอีกหนึ่งคืน

ในวันรุ่งขึ้น ทุกท่าน ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารเช้าราวตีห้าครึ่ง ภายใต้แสงจันทร์

ที่ยังคงส่องแสงนวลน้อยๆ ด้วยเป็นคืนข้างแรม อากาศก็ไม่ร้อนอย่างที่คิด

เป็นความรื่นรมย์ ที่ได้รับประทานอาหารเช้า ในบรรยากาศสดชื่นแสนสบาย

ณ โรงแรม Raza Gyo Hotel ซึ่งเป็นที่พักทั้งสองคืนของเราในพุกาม

หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จคณะของเรา ได้เดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศ

ที่พุกาม เพื่อเดินทางโดยเครื่องบิน ไปยังเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าของพม่า

ที่มีความเจริญ สวยงาม มีต้นไม้ร่มครึ้มเขียวขจี มีรถรามากจนการจราจรติดขัด บางเวลา

การเดินทางโดยเครื่องบินจากพุกาม ถึง ย่างกุ้ง ใช้เวลาเดินทางราว หนึ่งชั่วโมงเศษ

ก็ถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง

อนึ่ง การนำเสนอภาพและความการสนทนาธรรม ที่ประเทศพม่า นี้

จะนำเสนอในตอนจบที่ย่างกุ้ง โดยแบ่งออกเป็นสองตอน นะครับ

คือ ภาพการสนทนาธรรมที่ลานพระมหาเจดีย์ชเวดากองอันเลื่องชื่อ ยิ่งใหญ่ของพม่า

และ ในสวนที่สวยงาม ของโรงแรมที่พัก ที่สร้างและประดับด้วยไม้สักจำนวนมาก

มีความร่มรื่น สวยงาม แวดล้อมด้วยทะเลสาป กลางกรุงย่างกุ้ง ของประเทศพม่า

เนื่องจากเป็น ณ กาลครั้งหนึ่งของการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ ที่มีความประทับใจ

ควรที่จะได้บันทึกไว้เป็นประวัติ สืบไปเบื้องหน้า

หลังออกจากสนามบิน ได้เดินทางไปชมช้างเผือก ซึ่งเป็นช้างคู่บ้าน คู่เมือง ของชาวพม่า

ข้าพเจ้าก็เพิ่งเคยเห็นช้างเผือกชัดๆ โดยใกล้ชิดขนาดนี้ ก็คราวนี้

ช้างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุด มีความสำคัญมากในอดีต

ทั้งการเป็นช้างเผือก ที่มีลักษณะพิเศษ มีความสำคัญคู่บ้านคู่เมือง มีการเลี้ยงดูอย่างดี

แต่ก็ยังต้องถูกล่ามไว้ ไปไหนมาไหนไม่ได้

เมื่อได้กลับมาอ่าน และ พิจารณาอีกหลายครั้ง ก็คิดได้ว่า (กว่าจะคิดได้)

แม้เราเอง ที่คิดว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์ มีอิสระเสรี จะไปไหนๆ ก็ได้นั้น

ตามความเป็นจริงแล้ว ยังเป็นผู้ที่ถูกล่าม ถูกขังไว้ อย่างเหนียวแน่น ในกรงของกิเลส

ด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้

ตราบที่ยังไม่ละคลาย คือ เป็นผู้ที่เริ่มเวียนออกจากกรง จากการถูกล่าม

ด้วยการสะสมปัญญา คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้

ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงไว้

ด้วยการฟังพระธรรม พิจารณา ไตร่ตรอง แล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น บ่อยๆ เนืองๆ

ทีละเล็ก ทีละน้อย

อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขอนำความการสนทนาธรรม ที่ลานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ในตอนเย็นของวันนี้ เป็นการสนทนาธรรมที่มีภาพของพระมหาเจดีย์ชเวดากองอันยิ่งใหญ่

หุ้มทองคำแท้ทั้งองค์ เหลืองอร่ามตา ให้ได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ ความประเสริฐที่สุด

ในพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณ

ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นความการสนทนา ที่มีความไพเราะ ควรแก่การพิจารณา ไตร่ตรอง เช่นเคย

มาประกอบกับภาพที่ได้บันทึกมาฝากทุกๆ ท่าน นะครับ

(พระพุทธรูปหยกขาว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก)

คุณคำปั่น เรื่องของการศึกษาพระธรรม ศึกษาสิ่งที่มีจริง

เวลาที่กล่าวถึง สิกขา หรือ การศึกษา

จะให้ความเข้าใจกับผู้ศึกษาพระธรรมอย่างไร ว่าการศึกษานั้น มีระดับขั้นอย่างไร?

และ จะเริ่มต้นอย่างไร ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร? แล้วเรา เป็นใคร?

ลืมไม่ได้เลย

ไม่ใช่ว่า เราสามารถที่จะฟังคำที่พระองค์ทรงแสดง จากการตรัสรู้ แล้วก็เข้าใจได้

แต่ว่า แต่ละคำที่ตรัส มีคุณค่า ที่จะทำให้ คนที่ได้ยิน ได้ฟัง

ไม่ประมาท แล้วก็ ไตร่ตรอง พิจารณา

จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจจริงๆ

ทีละคำ

เช่น คำว่า ศึกษาธรรมะ ก็มีคำว่า ศึกษา และมีคำว่า ธรรมะ

ภาษาไทยก็มาจากภาษาบาลี ศึกษา ก็มาจากคำว่า สิกขา และ ธรรมะ ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ

เพียงแค่ ๒ คำ ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง หรือเปล่า?

กว่าจะเข้าใจว่า แม้แต่คำว่า สิกขา การศึกษา

หมายความถึง

ฟังอะไร? ศึกษาอะไร? เข้าใจอะไร?

ต้องเป็นคนที่

ไม่เผิน

ไม่ใช่บอกว่า ศึกษา ก็ศึกษา แต่ต้องรู้ว่า

ศึกษา หมายความว่า มีความไม่รู้ มีความไม่เข้าใจ

แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ก็สามารถที่จะ เข้าใจถูกได้ ตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง

นั่นจึงจะชื่อว่า ศึกษา

ไม่ว่าจะศึกษาอะไรทั้งนั้น

เช่นในขณะนี้ ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาอย่างอื่น

เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ก่อนว่า

ธรรมะ คือ อะไร?

(เจดีย์กาบาเอ่ Kaba Aye ที่ประดิษฐาน พระมหามัยมุนีจำลอง ทำจากเงินแท้

มีน้ำหนักกว่า ๕๐๐ กิโลกรัม ทรงเครื่องทรงที่ทำจากทองคำแท้)

ธรรมะ ไม่ใช่คำภาษาไทย แต่เป็นคำภาษา มคธี

ทรงแสดงธรรมะกับชาวมคธ ด้วยภาษาที่ชาวมคธ ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที

เพราะว่า เป็นชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น การที่คนไทย หรือว่า ชาวพม่า หรือ ใครก็ตาม ที่จะเข้าใจได้

ก็ต้อง ในภาษาของตนๆ

ไม่ใช่ในภาษาอื่น

เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจว่า ธรรมะ ไม่ว่าจะที่ไหน? อย่างไร?

ก็หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ

ซึ่งแม้ไม่ต้องใช้คำอะไรเลย สิ่งนั้นก็มีจริงๆ

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ต้องเริ่มต้นถูก ตั้งแต่ต้น

ไม่ใช่ว่า ต้องไปคิดว่า ต้องไปเปิดตำรา แล้วดูว่า มีอะไรบ้าง?

แต่ความจริง เพียงคำเดียว

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

เดี๋ยวนี้ ต้องคิดว่า มีหรือเปล่า?

และ เดี๋ยวนี้ จริงหรือเปล่า?

สิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ควรศึกษาไหม?

ควรรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงไหม?

ถ้าไม่เคยมีความสนใจ ที่จะเข้าใจแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่คงที่เลย

เมื่อวานนี้ ก็ไม่ใช่วันนี้ เมื่อกี้นี้ ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ต่อไปจากขณะนี้ ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการสังเกตุ การรู้ความเปลี่ยนแปลง

ความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน

ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้มีในขณะนี้ ก็เพียงชั่วคราว

แล้วก็เปลี่ยนไป

นี่คือ คนที่จะเริ่มฟังธรรมะ เริ่มเห็นประโยชน์ของการฟังธรรมะ

ก็ต้องรู้จริงๆ ว่า

ฟัง เพื่อเข้าใจอะไร?

ไม่ใช่ฟังแล้ว ก็เรียนตัวหนังสือ เข้าใจว่า เข้าใจแล้ว

แต่ความจริง แม้แต่คำว่า ธรรมะ ไม่ใช่เพียงตัวหนังสือที่เขียนกัน

แต่หมายความถึง เดี๋ยวนี้

สิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงๆ ในขณะนี้

เป็นสิ่งที่ควรรู้ ควรเข้าใจหรือเปล่า?

ถ้าไม่ควรรู้ ควรเข้าใจ ไม่ต้องฟังพระธรรมเลย

ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์

เพราะว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริง ของสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ก็มีจริงทุกขณะ

แต่ก่อนนี้ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก แล้วเดี๋ยวนี้ วันนี้ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก

ทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วก็ยึดถือ

และ ไม่รู้ว่า

แท้ที่จริง เกิดมาชั่วคราว

เพียงเพื่อเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง

แล้ว "จำ" สิ่งที่ปรากฏ ที่กำลังเห็นขณะนี้ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

แต่ไม่รู้เลย เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนหมดแล้ว ตลอดเวลา

แม้แต่เสียงแต่ละเสียง ได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงนั้นก็หมดไปแล้ว

แล้วก็มีเสียงใหม่เกิดขึ้น และ เสียงใหม่ก็เกิดอีก

ก็ไม่ได้สนใจ

ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเลย

ตั้งแต่เกิด จนตาย

เกิดมา ด้วยความไม่รู้ ไม่ว่าใคร

แม้พระโพธิสัตว์ ก็ต้องไม่รู้

เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม ที่มีการเกิดขึ้น แล้วก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น

ก็แสดงให้เห็นว่า

จะไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ

จนกว่า มีผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี รู้ความจริงและเห็นความจริง

ว่าแท้ที่จริงแล้ว

ชีวิต เกิดแล้ว ต้องตาย

แต่ว่า ก่อนตาย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์

แล้วก็คิดว่า เป็นสิ่งที่มีสาระสำคัญ

แต่ว่า สิ่งต่างๆ ที่เข้าใจว่ามีสาระ ก็ไม่ได้ติดตามไปเลย

แม้แต่ร่างกาย แม้แต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

เดี๋ยวนี้เอง

ก็ไม่ได้ตามไปเลย

เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเห็นถูกอย่างนี้ ก็จะรู้ว่า

ประโยชน์สูงสุด ของการที่เกิดมา คือ อะไร?

ผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ของการเกิดมา

เพื่อที่จะเข้าใจ

ไม่ใช่ ไม่รู้ต่อไป

แล้วก็ตายอีก แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ตายอีก

ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

(เจดีย์โปตาทาวน์ ที่บรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุ)

แต่ผู้ที่มีโอกาส ได้ฟังความจริงนี้

ก็มีความสนใจ ที่จะเข้าใจความจริงนี้ ยิ่งขึ้น

เพราะว่า มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เพียงแค่ได้ยินคำว่า ศึกษาธรรมะ

แค่นี้ ก็ต้องรู้ก่อน ว่า

ธรรมะ คือ อะไร? มาจากใคร? มีจริงอย่างไร?

และ ศึกษา เพื่อให้เข้าใจอย่างไรด้วย

เพราะฉะนั้น ก็ทราบแล้ว ศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ศึกษาอย่างอื่นเลย

แต่ ศึกษา "ทุกคำ" ที่เป็นพระพุทธพจน์ ที่ลึกซึ้ง

จนกระทั่ง สามารถที่จะ เข้าใจยิ่งขึ้น

เพราะว่า แต่ละคำ ต้องเข้าใจด้วย

ศึกษาธรรมะ

เพียงวันนี้ ยังไม่ได้เข้าใจละเอียด ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

แต่อย่างน้อยที่สุด

"เริ่ม" รู้จัก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตรัสรู้ความจริงที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น คนอื่น ศึกษาตาม

เพื่อจะให้เข้าใจความจริง ที่กำลังปรากฏตาม

คุณคำปั่น ครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ ก็เป็นเบื้องต้นจริงๆ

สำหรับที่จะให้เห็นประโยชน์ ของการที่จะได้ศึกษา ในสิ่งที่มีจริง

เพื่อเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง

เพราะว่า ชีวิตของทุกคน แต่ละท่าน เกิดมาก็ต้องตายอย่างแน่นอน

แต่ว่า สิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ สำหรับชีวิต

คือ การมีโอกาส ได้ฟังความจริง ได้ฟังในสิ่งที่มีจริง

เพื่อความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง แล้วก็เป็นการเริ่มศึกษาพระธรรมจริงๆ

คือ เริ่มศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมะ

ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้

กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ อย่างยิ่งเลยครับ

พลตรี ดร.วีระ กราบท่านอาจารย์ครับ เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่อง ความจริง

เมื่อวานนี้ ก็ไม่ใช่วันนี้ เมื่อสักครู่นี้ ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้

ตรงนี้ ความจริง ก็คือ

ในความเข้าใจ เดี๋ยวนี้ ก็คือ ความจริง

แต่ เมื่อสักครู่นี้ เป็นความจริงอย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์ "เห็น" ไม๊คะ?

พลตรี ดร.วีระ "เห็น"

ท่านอาจารย์ "เห็น" จริงหรือเปล่า?

พลตรี ดร.วีระ แต่ขณะนี้ก็ "เห็น" ตอนเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ "เห็น" เมื่อสักครู่นี้

ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้ มีคนนี้ กำลังเดินผ่านมา หรือเปล่าคะ?

เมื่อกี้นี้ มีหรือเปล่า?

ก่อนที่จะเดินมา มีใครเดินมาหรือเปล่า?

พลตรี ดร.วีระ ไม่มี

ท่านอาจารย์ ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หายไปแล้ว

(เดินทางเข้าโรงแรมที่พัก)

พลตรี ดร.วีระ แต่เดี๋ยวนี้ กับ เมื่อกี้นี้ เวลาต่างกัน ขนาดนั้น

เป็นความจริง ทั้งเมื่อกี้นี้ ทั้งเดี๋ยวนี้หรือ?

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่คิดถึงเวลา แต่เห็นสิ่งที่มี ที่ปรากฏให้เห็น

สิ่งนั้น หมดไปแล้ว ก็มีการเห็นอีก

แต่ไม่ใช่ "เห็น" เดียวกับขณะที่ "เห็น" ก่อน

แต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้น ดับไป หมดไป

โดยไม่รู้เลย

แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย

พลตรี ดร.วีระ คือ ความจริงที่เกิดขึ้น แต่ละหนึ่งๆ เมื่อกี้ เกิดหนึ่ง

เดี๋ยวนี้ก็เกิด ต่อไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้ว ในขณะนั้น ก็มีแต่ละหนึ่ง แต่ละขณะๆ

ที่เป็นเมื่อกี้นี้ และเดี๋ยวนี้ ต่างกันอย่างนี้?

ท่านอาจารย์ ค่ะ นี่คือ คำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ เรากราบไหว้บูชา

แต่ว่า การบูชาที่พระองค์ประสงค์ ไม่ใช่ด้วยการกราบไหว้

แต่ ด้วยการ "เข้าใจ" พระธรรม ที่พระองค์ ตรัสรู้

เพื่อที่จะให้คนอื่น สามารถเข้าใจตาม และ รู้ตามได้ด้วย

เพราะฉะนั้น จึงต้องรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์ผู้ที่ได้ฟัง

แล้วก็ ไตร่ตรอง โดยละเอียด

ให้เข้าใจความจริง ที่มีทุกขณะ

เช่น ขณะนี้ "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เห็น"

ต่างกันแล้ว

"เห็น" ต้องหมดไป "ได้ยิน" ก็ต้องหมดไป

ทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ก็ต้องหมดไป

ทางขึ้นพระมหาเจดีย์ชเวดากอง หนึ่งในสี่ด้าน (ด้านนี้ เป็นบันไดเลื่อน)

พลตรี ดร.วีระ จะเห็นได้ ความต่างตรงนี้ ก็คือว่า

มีทั้งขณะได้ยิน แล้วก็ ขณะได้ยินเสียงนี้ (นกร้อง) ด้วย เสียงที่กล่าวไปเองด้วย

แล้วก็ เมื่อสักครู่นี้ ก็มีเสียง อีกสักครู่หนึ่ง ก็มีความคิดว่า

นี่เสียงอาจารย์ สักครู่ก็คิดว่า เสียงตัวเอง

อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น นั่นคือ ความจริงทั้งหมด?

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

พลตรี ดร.วีระ ตรงนี้หรือครับ? ที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจ?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเหตุว่า

ไม่อย่างนั้น เราก็เข้าใจว่า "มีเรา"

มีสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เที่ยง

แต่ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มี เพียงเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

ทั้งหมดเลยค่ะ

พลตรี ดร.วีระ ถ้าเช่นนั้นแล้ว การที่ศึกษาความละเอียด ของพระพุทธองค์

ที่ทรงเมตตา ตรัสให้เราทราบ ต่างๆ เหล่านี้

ก็ดูว่า เมื่อกี้มี เมื่อกี้ไม่มี เดี๋ยวนี้ ไม่มี

แค่นี้ ก็คงจะเข้าใจได้

แล้วเราต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น อย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์ เพราะว่า ยังไม่ทั่ว

เพียงแค่ นิดๆ หน่อยๆ

แล้วก็ ไม่จริงด้วย

เช่น ขณะนี้ "เห็น" เกิดแล้วก็ "ดับ"

"เข้าใจ" แต่ยังไม่ "ประจักษ์"

ยังไม่เกิดจริงๆ ให้เห็นว่า "เกิด" ยังไม่ดับจริงๆ ให้เห็นว่า "ดับ"

แต่ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้

ปัญญา อีกระดับหนึ่ง ก็สามารถที่จะ เริ่มเข้าใจถูก เห็นถูก

จนประจักษ์แจ้ง

ที่ใช้คำว่า รู้แจ้ง อริยสัจจะ

สิ่งที่มี เป็นสัจจะ เป็นธรรมะ ที่มีจริงๆ

แต่ว่า ยังไม่ได้รู้แจ้งความจริง

เพียงฟังเรื่องธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น

เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง

ความรู้ทุกอย่างต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามลำดับขั้น

ข้ามขั้นไม่ได้เลย

ถ้าไม่มีความรู้ขั้นฟัง

แล้วจะไปรู้ว่า ขณะนี้ สภาพธรรมะ กำลังเกิด ดับ

เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น การฟังพระพุทธพจน์ เป็น ปริยัติ

ภาษาบาลี จะออกเสียงว่า ปะ-ริ-ยัด-ติ หมายความว่า

เป็นความรอบรู้ ในพระพุทธพจน์

ไม่ใช่ในวิชาการอื่นใดทั้งสิ้น

แต่ แต่ละคำ ที่ได้ยิน

กว่าจะรอบรู้ จนกระทั่งมั่นคง

ว่า ขณะนี้ ก็เป็นเพียง สิ่งที่ปรากฏ เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

ก็เป็นปัญญา อีกขั้นหนึ่ง

เพราะละความไม่รู้ เพราะละการลืม

ว่าขณะนี้ ก็เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง

ยังไม่รู้เลยว่า "เห็น" นี้ หนึ่ง ไม่ใช่ "ได้ยิน" หนึ่ง ไม่ใช่ "คิดนึก" หนึ่ง

ซึ่งความจริง ไม่ปะปนกันเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อความจริง เป็นอย่างนี้

แล้วก็มีความเข้าใจ ที่มั่นคง

แล้วก็ ไม่ลืม ที่ทำให้สามารถ เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริง

เป็นความรู้ ขั้น ปฏิปัตติ คือ ถึงเฉพาะสิ่งที่มี

ไม่ใช่ไม่มี มีเพราะ เกิดขึ้น ปรากฏ

แล้วสติสัมปชัญญะ และ ปัญญา ที่ฟัง จนกระทั่ง เข้าใจ

ก็ ถึงเฉพาะ ลักษณะที่เป็นจริง ตามที่ได้เข้าใจ

คือ สภาพธรรมะ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เมื่อไหร่

ขณะนั้น ก็เป็นปฏิเวธ

ความรู้ ที่ประจักษ์แจ้งความจริง

ซึ่งผู้ที่ได้ทรงแจ้ง ก่อนบุคคลใดทั้งสิ้น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าไม่ทรงรู้แจ้ง ความจริงอย่างนี้

จะกล่าวความจริงอย่างนี้

ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น วาจา หรือว่า พระพุทธพจน์ ทั้งหมด เป็นวาจาสัจจะ

วาจา ที่กล่าวถึง สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง

ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย

จากการที่ ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และ ทรงตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็สามารถที่จะทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา

ให้คนที่มีโอกาส ได้ฟัง ไตร่ตรองก่อน

แล้วก็ เข้าใจแต่ละคำ

เพราะว่า บางคนก็ไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?

เพียงได้ยินแต่คำว่า ธรรมะ

ก็ไม่รู้ว่า หมายความถึงอะไร?

ขณะนี้ ไม่ต้องใช้คำว่า ธรรมะ เลยก็ได้

แต่ว่า สิ่งที่มีจริง

มีจริงๆ หรือเปล่า?

สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่มีจริง แล้วจะเรียกสิ่งนั้น ว่าอะไร?

เพราะสิ่งที่มีจริงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริง ทีละหนึ่ง

เช่นเห็น เพียงแค่เห็นนิดเดียว

ยังไม่ใช่พระเจดีย์ ยังไม่ใช่คน ยังไม่ใช่เรา ยังไม่ใช่อะไรเลย

แต่เป็นเพียงเห็น และ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

นี่ค่ะ ต้องเข้าใจก่อน

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ปรากฏเห็น เป็นพระเจดีย์

หลากหลาย มากมาย

ก็แสดงให้เห็นว่า จิตเห็น เกิด ดับ เกิด ดับ เร็วมาก

สืบต่อ จนปรากฏเห็น เป็นรูปร่างสัณฐาน

และ ขณะนี้ ก็ไม่ใช่มีแต่คนเดียว

เยอะแยะ มากไปหมด

พระเจดีย์ ก็หลายองค์

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็น การเกิดดับ สืบต่อ

อย่างรวดเร็ว สุดที่จะประมาณได้ ของสภาพธรรมะ

นี่เป็นเหตุที่ ทำให้หลงเข้าใจ นิมิต รูปร่าง สัณฐาน ที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง

ยังไม่ได้ดับไปเลย สักอย่างเดียว

เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป

มิฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้

ก็ปรากฏไม่ได้

พลตรี ดร.วีระ ท่านอาจารย์ ได้กรุณากล่าวถึงคำว่า "ทั่ว"

ขณะนี้ ท่านอาจารย์กล่าวถึงคำว่า "เจดีย์"

ความรู้สึกก็คือว่า ขณะนี้ มองเจดีย์

เดี๋ยวก็มีตั้งหลายเจดีย์ เกิดขึ้น

นั่นหรือ จะต้องเข้าใจว่า เจดีย์ทุกเจดีย์ คือ ความจริง

สิ่งที่ถูกเห็น คือ เจดีย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ ความจริงก็คือว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

พลตรี ดร.วีระ เท่านั้นเอง?

ท่านอาจารย์ ค่ะ

พลตรี ดร.วีระ แต่ว่า ขณะนี้ มีการเห็น แล้วก็มีอีกอย่าง ที่รู้ว่าเจดีย์

แล้วก็มีการเห็นอะไรต่างๆ

ท่านอาจารย์ ที่จะกล่าวว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เช่น พระเจดีย์

ต้องมีรูปร่างสัณฐาน

รูปร่างสัณฐานมาจากไหน?

ถ้าไม่มีตัวจริง คือ ธรรมะ ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ จนปรากฏเป็นนิมิตของเจดีย์

ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย

โลกก็ไม่มี

แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เพียงสิ่งเดียว

สั้นแสนสั้น เล็กน้อยเท่าไหร่ เกิดขึ้น แล้วดับไป

ก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว

แต่ถ้า สิ่งที่เกิดปรากฏ เกิดดับสืบต่อ ไม่ใช่เพียงหนึ่ง

มากมาย มีปัจจัยที่ทำให้เกิด มากมาย แล้วก็เกิดดับ สืบต่อด้วย

จึงปรากฏเป็นเจดีย์ หรือว่า เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ

แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับ

พลตรี ดร.วีระ ดังนั้น การที่จะกล่าวว่า "รู้ทั่ว"

คือ มีหลายสิ่ง หลายอย่างเกิดขึ้น แล้วก็จากไป

แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็จากไป

ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ใช้คำว่า ขณิกมรณะ ตายจริงๆ คือ ไม่กลับมาอีกเลย

แต่ว่า เร็วสุดที่จะประมาณได้

ไม่มีใคร สามารถที่จะรู้ ขณิกมรณะได้

ไม่มีใคร

แต่มี "ปัญญา" ที่ได้อบรมแล้ว

จากการที่ค่อยๆ เข้าใจ พิจารณา สังเกตุ ละคลายความไม่รู้

จนในที่สุด ก็ประจักษ์แจ้งความจริงได้

กว่าพระโพธิสัตว์ จะได้ทรงตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงบำเพ็ญ ความดี เพื่อละความไม่รู้

ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจ

แล้วก็รู้ว่า

ถ้าจิตยิ่งมีกุศลธรรม ความไม่รู้ และ กิเลสทั้งหลาย เกิดบ่อยๆ

ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้

จนกว่าจิตนั้น จะค่อยๆ สะอาดขึ้น ด้วยกุศลธรรม

การไตร่ตรอง ก็ไตร่ตรองได้ถูกต้อง

บำเพ็ญบารมี

นาน

จนกระทั่ง สามารถที่จะเข้าใจ

และ

รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

(ภาพพระมหาเจดีย์ชเวดากองยามค่ำคืน ถ่ายจากโรงแรมที่พัก)

"...เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็น "กุศลที่เจริญขึ้นจนถึงขั้นที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม"

ซึ่งต้องประกอบด้วย ความดีประการต่างๆ นั่นเองเพียงแค่วันนี้...ดีหรือยัง...ดีอะไรบ้าง.?เป็นบารมีหรือเปล่า...ประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า.?มีความเห็นที่ถูกต้องหรือเปล่า.?เพราะว่าถ้าเป็นแต่เพียงความดีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาความดีที่กระทำนั้น ก็ไม่สามารถเจริญขึ้นจนกระทั่งดับกิเลสที่ไม่ดีได้..."

(คัดจาก ธรรมบรรณาการ)

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมทั้งสองตอนที่แล้วได้ที่นี่ครับ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศพม่า ๔ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ [มัณฑเลย์]

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศพม่า ๔ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ [พุกาม]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 31 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 1 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
raynu.p
วันที่ 1 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 1 เม.ย. 2556

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 1 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Wisaka
วันที่ 1 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาในกุศลทุกทุกประการของคุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 2 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 2 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 3 เม.ย. 2556

พลตรี ดร.วีระ คือ ความจริงที่เกิดขึ้น แต่ละหนึ่งๆ เมื่อกี้ เกิดหนึ่ง

เดี๋ยวนี้ก็เกิด ต่อไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้ว ในขณะนั้น ก็มีแต่ละหนึ่ง แต่ละขณะๆ

ที่เป็นเมื่อกี้นี้ และเดี๋ยวนี้ ต่างกันอย่างนี้?

ท่านอาจารย์ ค่ะ นี่คือ คำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ เรากราบไหว้บูชา

แต่ว่า การบูชาที่พระองค์ประสงค์ ไม่ใช่ด้วยการกราบไหว้

แต่ ด้วยการ "เข้าใจ" พระธรรม ที่พระองค์ ตรัสรู้

เพื่อที่จะให้คนอื่น สามารถเข้าใจตาม และ รู้ตามได้ด้วย

..........................

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้

และขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 5 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ