การกรวดน้ำ
เรามีประเพณีนิยมกัน ที่จะกรวดน้ำหลังทำบุญ ไม่ทราบว่าเราแผ่เมตตาเฉยๆ บุญจะไปถึงผู้รับเท่ากับกรวดน้ำหรือไม่ และกรวดน้ำ เราจะได้บุญมากกว่าแผ่เมตตาเฉยๆ หรือไม่ และจะทำให้ชาติต่อๆ ไปของเรามีน้ำกิน ใช่หรือไม่ครับ หรือเป็นพิธีการที่ทำให้เรามีใจสงบเป็นสมาธิ หรือมีความสบายใจขึ้น เท่านั้นครับ
ขอขอบพระคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การกรวดน้ำในปัจจุบัน เป็นการแสดงถึงการอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ ไปแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าไม่ไ่้ด้บัญญัติไว้และแสดงไว้ว่า เมื่อจะอุทิศ ส่วนกุศลจะต้องกรวดน้ำ พระพุทธเจ้าไมไ่ด้แสดงไว้อย่างนั้น ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่มีเพียงการเทน้ำ หลั่งน้ำ แสดงถึงการสละ บริจาคให้ มีพระเจ้าพิมพิสารถวาย วัดเวฬุวันโดยการหลั่งน้ำ แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร อุทิศส่วนบุญที่ท่านทำ ท่านก็ไม่ได้ใช้น้ำ ท่านก็เปล่งวาจากล่าวอุทิศส่วนกุศลให้ญาติครับ ดังนั้นการใช้ น้ำในการอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ คลาดเคลื่อนจากความเข้าใจใน สมัยพุทธกาล กลายเป็นประเพณีนิยมไปครับ
ในความเป็นจริงแล้ว การอุทิศส่วนบุญให้ สำคัญที่เจตนาของผู้ที่อุทิศ ไมได้อยู่ ที่การเทน้ำ หากไม่มีเจตนา ตั้งใจจะอุทิศให้ญาติเลย แต่ก็มีการเทน้ำ บุญก็ไม่เกิดขึ้น ที่เป็นการอุทิศส่วนกุศล เพราะการอุทิศส่วนกุศลอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่อาการเทน้ำ บุญจึงอยู่ที่ใจเป็นสำคัญครับ และก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวคำบาลีต่างๆ ที่ว่า..ยถา วาริวหา ปูรา ปริ ปูเรนฺติ ... เพราะการอุทิศส่วนกุศลสำคัญที่เจตนา หากมีเจตนา อุทิศให้ กล่าวภาษาอะไร แต่มีเจตนาอุทิศแล้ว บุญเกิดขึ้น คือ การอุทิศส่วนกุศล เมื่อผู้เป็นญาติล่วงรู้และอนุโมทนา ญาติก็ได้รับบุญคือ บุญเกิดกับญาติเองที่เกิด กุศลจิตที่อนุโมทนาครับ
ส่วนการอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวคำแผ่เมตตา เพราะ สำคัญที่ เจตนาของผู้อุทิศ หากมีเจตนาอุทิศให้ญาติทั้งหลาย แม้กล่าว หรือ คิดในใจ ที่เป็น การอุทิศให้ หากญาติรับรู้และ อนุโมทนา ก็สามารถได้ส่วนบุญที่ญาติอุทิศไปให้ จึงกล่าวสรุปได้ว่า ไม่จำเป็นจะต้องกรวดน้ำ และ แผ่เมตตาให้ญาติ สำคัญที่ เมื่อ ทำบุญแล้ว ก็มีเจตนาอุทิศกล่าว หรือ คิดในใจว่า ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย เป็นต้น ครับ
เชิญคลิกอ่่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
การกรวดน้ำ อุทิศผลบุญ ความเป็นมาอย่างไร
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่ไปทำอะไรตามๆ กัน ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของความเข้าใจ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดจริงๆ ไม่มีคำสอนที่ให้มีการไปทำ อะไรด้วยความไม่รู้ด้วยความไม่เข้าใจ เลยแม้แต่น้อย แต่ทรงแสดงพระธรรมไปตาม ความเป็นจริงของธรรม ซึ่งถ้าได้เข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว จะเบาสบายด้วยความเข้าใจ ไม่หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์หรือเรื่องต่างๆ ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก และ ความคิดที่ว่าถ้าไม่กระทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะไม่เป็นกุศล ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะได้ เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ขณะใด เป็นกุศล ขณะใดไม่ใช่กุศล พร้อมกันนั้นเพราะได้เข้าใจ อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องได้ และ ยังสามารถ อธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจในเหตุในผลตามความเป็นจริงได้ เจริญกุศลแล้ว แทนที่จะทำ อย่างอื่น ก็มีความปรารถนาต่อผู้อื่น มุ่งที่จะให้ผู้อื่นเกิดกุศลจิต ด้วยการตั้งใจอุทิศส่วน กุศลเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้รับรู้และเกิดกุศลจิตอนุโมทนา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...