ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๖]
--- สติ มีประโยชน์มากที่จะทำให้ท่านรู้ว่า ท่านมีกิเลสมากน้อยเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น ไปในทางกาย หรือว่าทางวาจา หรือว่าเพียงเกิดกับใจเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถ จะรู้ได้เลย และท่านที่ขัดเกลากิเลสอยู่เรื่อยๆ โลภะอาจจะเบาลง โทสะอาจจะเบา ลง ริษยาก็น้อย มัจฉริยะก็คงจะเบาบาง รวมถึงมานะ ความสำคัญตน ท่านที่มี ความประสงค์จะละกิเลส ให้หมดเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ท่านไม่ ต้องการจะเก็บไว้เลย สำหรับสิ่งที่เป็นอกุศลหรือเป็นกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ มีทางใด ที่จะละได้ มีทางใดที่จะขัดเกลาได้ ท่านไม่เว้น
--- ผู้ที่มีความสนใจจริงๆ ในการที่จะประพฤติปฎิบัติตามธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ก็ควรที่จะได้มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้น้อมนำ ธรรม ที่ได้ศึกษาและได้เข้าใจแล้วนั้น มาเป็นประโยชน์แก่ตน เพราะเหตุว่า พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้นั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ศึกษา แต่ว่าให้ประพฤติปฏิบัติ ตามเท่าที่จะกระทำตามได้ แล้วการประพฤติปฏิบัติตามธรรมนั้น ก็เป็นการขัดเกลา กิเลสของตนเอง ทำให้จิตใจของตน เบาบางจากอกุศล แล้วก็เพิ่มพูนในฝ่ายกุศล ยิ่งขึ้น
สำหรับอุบาสิกาก็ไม่ควรจะท้อใจ คือ ถ้ามีความสนใจ ก็ศึกษาเท่าที่จะกระทำได้
ข้อสำคัญก็คือว่า อย่าท้อใจ อย่าคิดว่า รู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าคิดอย่างนี้แล้ว
ถึงแม้พระผู้มีพระภาคจะประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งแห่งใด ท่านก็จะไม่ไปฟังพระธรรม
ของพระองค์เป็นแน่นอนทีเดียว เพราะมีความเห็นว่าพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น
สูงนักรู้ไม่ได้ แท้ที่จริงแล้ว ธรรม ถึงแม้ว่าจะยาก แต่สามารถรู้ได้ ซึ่งต้องไม่
ขาดการฟังพระธรรม
วิปัสสนา เป็นเรื่องของปัญญา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลา ถ้ามีความเข้าใจ
แล้ว ก็เจริญวิปัสสนาได้เนืองๆ บ่อยๆ แทนที่ท่านจะหวังการรู้แจ้งอริยสัจจ์
โดยรวดเร็วหรือแม้โดยในชาตินี้ ท่านควรจะเปลี่ยนเป็นการเพิ่มความรู้ลักษณะของ
นามและรูปที่กำลังปรากฏไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม
ตราบใดที่ยังยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จะไม่มี
โอกาสดับกิเลสอะไรได้เป็นสมุจเฉท
ศีลที่เป็นกุศล นั้น หมายความถึงเฉพาะศีลที่จะขัดเกลากิเลส จึงเป็นกุศล
แต่ว่าธรรมดาแล้ว ศีลก็หมายความถึงความประพฤติของกาย ของวาจา ซึ่งถ้า
เป็นทุจริตก็เป็นอกุศลศีล ถ้าเป็นสุจริตก็เป็นกุศลศีล เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่
จะดับกิเลส ก็ต้องเจริญศีล อบรมศีลที่เป็นกุศล
ความเห็นชอบ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ กุศลธรรมมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญ
บริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย
ผู้ที่เห็นโทษของกิเลส แล้วก็ใคร่ที่จะดับกิเลส ก็จะไม่เพิ่มกิเลส โดยการกระทำ
ทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้น กุศลธรรม มิใช่น้อย จึงเจริญ ย่อมถึงความ
เจริญบริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์
เมื่อมีความเห็นชอบเกิดขึ้น ท่านระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และ
เจริญกุศลทุกประการ เพราะเหตุว่า ถ้าท่านเป็นผู้ที่ใคร่ต่อการที่จะละกิเลส ดับกิเลส
เพราะเห็นว่าท่านสะสมกิเลสมามากเหลือเกินแล้ว ถ้ายังคงสะสมอกุศลกรรม และ
สะสมกิเลสต่อไป เมื่อไรจะดับหมดได้สักที ทั้งๆ ที่อยากจะดับกิเลสแล้วก็รู้ว่า กิเลส
ที่มีแล้วนี้ก็มากเหลือเกิน แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ที่อบรมเจริญกุศลทุกประการ จะดับกิเลสได้
อย่างไร เพราะเหตุว่า ขณะใดที่จะกระทำอกุศลกรรม ขณะนั้นก็เป็นการสะสมเพิ่ม
พูนกิเลสอีก และขณะใดที่หลงลืมสติ ขณะนั้นก็เพิ่มพูนกิเลสมากขึ้นด้วย
ถ้าข้อปฏิบัตินั้นผิด คลาดเคลื่อน ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ อกุศลธรรมซึ่ง
เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ย่อมเกิดมากยิ่งขึ้น
ปัญญา ยากมาก เกิดช้าด้วย แต่อบรมได้ เกิดได้
อยากให้สติเกิด ก็ผิดแล้ว
ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจ ไม่ใช่ไปติดที่คำ
ความไม่รู้ ทำให้ยึดถือ และอกุศลธรรมก็ตามมาอีกมากมายเพราะความไม่รู้
พึ่งคนที่ไม่รู้ ไม่สามารถทำให้ความรู้เกิดขึ้นได้เลย
ขณะนี้ เป็นอะไร แล้วต่อไปเป็นอะไร ก็คือ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
หวังเมื่อไหร่ ไม่เข้าใจธรรมเมื่อนั้น
จุดตั้งต้นที่ไม่ควรลืม คือ สภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่อยู่ใน
อำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ขณะที่กุศลจิตเกิด ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขณะนั้นอกุศลเจตสิก ไม่เกิด
กับจิต อกุศลเจตสิกจะเกิดกับกุศลจิตไม่ได้
โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ
จะรักษาพระธรรม ไว้ได้อย่างไร? ก็ด้วยการ เก็บรักษาความเข้าใจถูกไว้
ในใจ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๕ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- การที่ศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมจึงต้องละเอียดจริงๆ และ มิใช่จะหมาย
ความว่าพยายามที่จะให้รู้หรือคิดอย่างนี้ได้ แต่เพราะเหตุว่า มีความเข้าใจทีละเล็ก
ทีละน้อยทำให้วันไหนที่เพิ่มความเข้าใจขึ้น สิ่งที่เข้าใจ พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่
กำลังเข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ด้วยความเข้าใจตรงตามที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง นี่ก็
แสดงให้เห็นว่า ข้ามหรือละเลยสภาพธรรมที่ ปรากฏเป็นแต่ละขันธ์ไม่ได้เลย ขณะนี้
ความรู้สึกก็มี แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของ ความรู้สึก สัญญาความจำมีแน่ ก็ไม่ได้รู้ว่าที่
เรารู้ว่าเป็นใคร เพราะคิดด้วยความจำ ถ้าไม่จำไว้ จะคิดได้ไหมว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้
- ที่มูลนิธิฯ นี้มีต้นไม้ ดอกไม้สวยไหมคะ รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจ
ว่า เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น แค่นี้เองค่ะ กี่ภพ กี่ชาติ ก็ปรากฏให้เห็นแต่ความคิด
ความจำ เรื่องราวของสิ่งที่เห็น มากมายเหลือเกิน เป็นยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นลาภ
เป็นสรรเสริญ สุข สารพัดอย่างที่ติดข้องจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแก้วแหวน
เงินทอง เพชร นิล จินดา สารพัดอย่าง
- เพราะธรรมมีอยู่แล้วที่ตัว ขณะนี้เป็นธรรม จะไปหาอะไรคะ ไปหาได้อย่างไร
ในเมื่อเป็นธรรม กำลังเป็นธรรมอยู่ จะไปหาธรรมอะไร เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามที่
บอกว่าไปหาธรรม ไปปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม คนนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แล้วเรียนอะไร
ก็แสดงว่า ไม่ได้เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
- เห็นเป็นเรา จึงต้องฟังเรื่องเห็นจนกว่าจะเข้าใจขึ้นว่าเห็นเป็นธรรมะ นี่ขั้นฟังค่ะ
“สัจจญาณ” ปัญญาขั้นที่ฟังแล้วเข้าใจสัจจะ ความจริงของสัจจธรรม ที่เกิดดับ ไม่ใช่
ขณะอื่น แต่ขณะที่เกิด แล้วปรากฏ แล้วดับ แต่ยังไม่รู้ทั้งการเกิดการดับ แต่มีสัจจธรรม
ที่เกิดปรากฏให้เห็น แม้จิตที่เห็น ก็ต้องฟังจนกระทั่งรู้ว่า เป็นธาตุหรือเป็นธรรมชาติ
ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีใครเลือกให้จิตเห็นได้คะ? ไม่ได้ค่ะ ชัดๆ อยู่แล้วว่า
เป็นอนัตตา ก็ไม่รู้ แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้นี้มากมายมหาศาล ระดับไหน อย่าไป
คิดเรื่องละ เรื่องการประจักษ์แจ้งแทงตลอดลักษณะของสัจจธรรม โดยไม่รู้ไม่เข้าใจ
แม้ขั้นการฟัง
ขออนุโมทนา
ถ้าข้อปฏิบัตินั้นผิด คลาดเคลื่อน ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ อกุศลธรรมซึ่ง
เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ย่อมเกิดมากยิ่งขึ้น
ปัญญา ยากมาก เกิดช้าด้วย แต่อบรมได้ เกิดได้
ความไม่รู้ ทำให้ยึดถือ และอกุศลธรรมก็ตามมาอีกมากมายเพราะความไม่รู้
จะรักษาพระธรรม ไว้ได้อย่างไร? ก็ด้วยการ เก็บรักษาความเข้าใจถูกไว้
ในใจ
- เพราะธรรมมีอยู่แล้วที่ตัว ขณะนี้เป็นธรรม จะไปหาอะไรคะ ไปหาได้อย่างไร
ในเมื่อเป็นธรรม กำลังเป็นธรรมอยู่ จะไปหาธรรมอะไร เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามที่
บอกว่าไปหาธรรม ไปปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม คนนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แล้วเรียนอะไร
ก็แสดงว่า ไม่ได้เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม อย่างยิ่งค่ะ...