อยากบวช
สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาครับ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 อายุผมที่จริงครบบวชมาได้ 2 ปีแล้วครับ แต่แม่เคยบอกไว้ให้บวชตอนเรียนจบ ปีที่ผ่านมานี้ มีเพื่อนบวชไปหลายคนแล้วครับ เวลาไปงานบวชของเพื่อนรู้สึกใจปลื้มปิติมากเลยครับ อยากจะบวชเสียเองอย่างไงอย่างงั้น จึงได้คุยกับแม่ ประมาณว่าทาบทามไว้ว่าอยากบวชสักปีหน้า เพราะถ้าเรียนจบถ้ามีงานเข้ามาไม่รู้จะมีเวลาบวชหรือเปล่า แม่ก็ขอเวลาลองไปคุยกับพ่อ
ผลสรุปออกมาครับ พ่อแม่อนุญาตให้บวชครับ ผมดีใจมากเลยครับ แต่ผมต้องรออีก 1 ปีเต็ม เพราะวันบวชคือปีหน้า ผมสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอนครับผม อธิษฐานจิต ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากราชภัยทั้งปวง ให้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสบวชสักครั้ง พอดีผมได้รู้จักกับพระท่านหนึ่งทางเฟสบุ๊คครับ ผมถามสารพัดเลยครับเกี่ยวกับการบวช การรู้จักพระหลวงพี่ทำให้ผมใจพองโตมากครับ ทำให้รู้สึกอยากบวชอย่างยิ่ง (ใจจะขาดเลยครับ) ความรู้สึกมันแปลกๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาไม่ว่าจะเป็นไปบวชเพื่อน สรงน้ำพระ ช่วงสงกรานต์ แล้วยังได้รู้จักสนทนากับพระสงฆ์รูปนี้อีก แต่ทว่าผมบวชในปีหน้านี้ คงจะไม่มีเวลาบวชมากมายนัก ใจผมอยากบวชแบบไม่มีกำหนดสึกครับ คือไม่อยากกำหนดวันเวลาสึกไว้ครับ แต่ผมคงทำไม่ได้ครับ
ผมเองนึกปลื้มในบุญของหลวงพี่จริงๆ หลวงพี่บวชมาแล้ว 8 พรรษาครับ และก็เรียนมหาจุฬาฯ เรียนทางโลก ผมรู้สึกว่าตนเองไปคนละทิศละทางกับศาสนาแล้ว เพราะผมมีภาระทางโลก ไม่สามารถสละได้ ทำให้ต้องบวชเป็นการชั่วคราว ผมจึงขอเล่าเรื่องเพียงเท่านี้ก่อนครับ ผมอยากทราบ ว่าถ้าเราบวชแล้ว บวชไม่ถึงพรรษาจะเป็นไรไหมครับ เพราะเวลาทางโลกจำกัดเวลาของผมครับ ผมต้องมีภาระฝึกสอน เนื่องจากเป็นนักศึกษาครู แล้วก้ต้องเป็นครู กลัวว่าจะศึกษาได้ไม่เต็มที่ เพราะเคยได้ยินมาว่าการบวช 15 วัน 20 วันยังไม่ได้อะไร เลยเป็นเพียงการปรับตัวของพระใหม่เท่านั้น สมมติว่าผมสึกออกมาแล้ว ผมตั้งใจปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ภาวนา แบบที่เคยทำ ผมจะได้บุญเหมือนบวชเป็นพระสงฆ์ หรือเปล่าครับ ขอความเมตตาช่วยแนะแนวทางให้ทีครับ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การได้พบพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงการได้บวช แต่การได้พบพระพุทธศาสนาที่แท้จริง คือ พบได้ที่ใจของตนเอง คือ มีความเข้าใจพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดปัญญาความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น การได้พบพระพุทธศาสนาโดยการเข้าใจคำสอนจึงไม่ได้ถูกจำกัดที่เพศของบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ เพศชายหรือเพศหญิง ผู้ใดก็ตามที่เกิดจิตใจที่เข้าใจพระธรรม อันเกิดจากการศึกษาพระธรรม ผู้นั้นก็ชื่อว่าพบพระพุทธศาสนา เพราะพบด้วยปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระธรรม ดังนั้น เมื่อยังไม่ถึงเวลาบวชตอนนี้ แต่ก็สามารถบวชใจ อันเป็นสิ่งสำคัญ คือ ที่เป็นการบรรพชา คือ การสละสิ่งที่ไม่ดีจากจิตใจของตนเอง โดยเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือ การศึกษาธรรม เพราะจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น และเห็นโทษของกิเลส และ ละคลายกิเลสไปทีละน้อย เพราะกิเลสไม่ได้หายไป หมดสิ้นไปเพียงเพราะการบวช แต่กิเลสจะหมดสิ้นไปด้วยธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ ปัญญาที่เห็นถูก ครับ
ในสมัยพุทธกาลก็มีผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลทั้งเพศคฤหัสถ์และบรรพชิต แม้ คฤหัสถ์ก็บรรลุธรรมและใช้ชีวิตเป็นปกติได้ เพราะปัญญาก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเพศคฤหัสถ์ เพราะสะสมเหตุที่ถูกต้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ
ดังนั้น สิ่งที่ควรอบรม ชื่นชม ควรอนุโมทนา และ ควรเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือ การศึกษาพระธรรม เพราะจะทำให้เป็นอุปนิสัยที่ดี ที่จะสนใจศึกษาพระธรรมต่อไป แม้ว่าจะไม่สามารถบวชได้ตลอดชีวิต เพียงไม่กี่วันก็ไม่เป็นไร ครับ ตามเหตุปัจจัย แต่การสะสมสิ่งที่ถูกต้องเดี๋ยวนี้ คือ การศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง โดยสามารถฟัง และ อ่านในเวปนี้ ก็จะทำให้มีความเข้าใจถูก และ สนใจพระธรรมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเพศคฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต ครับ
ส่วนที่ถามว่า เมื่อสึกออกมาแล้ว สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม จะไ้ด้บุญหรือเปล่า
- บุญ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิต เจตสิก ที่ดี ที่เรียกว่าบุญ ไม่ได้จำกัดเฉพาะจะเกิดตอนเป็นพระ แม้เป็นฆราวาสก็มีจิต เจตสิก มีการทำบุญ คือ เกิดกุศลจิตได้ เพราะในสมัยพุทธกาล ฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้า บรรลุธรรมมีมากมายนับไม่ถ้วน ท่านก็ทำกุศลในชีวิตประจำวันเป็นปกติ และ ที่สำคัญ ก็มีปัญญาด้วย อันเกิดจากการปฏิบัติธรรมจนได้ บรรลุธรรม ครับ
และ ขอย้ำอีกครั้งครับว่า การจะละกิเลส บรรลุเป็นพระอริยบุคคล คือ ปัญญา ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ และ ละกิเลส ไม่ใช่การเปลี่ยนเพศเป็นบรรพชิต เพราะผู้ที่มีปัญญา ย่อมสามารถละกิเลส บรรลุธรรมได้ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ ...
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก การอบรมเจริญปัญญาไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นคุณประโยชน์ของพระธรรมมากน้อยแค่ไหน แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย ถ้าหากว่ามีความประสงค์จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญ ปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว แม้จะอยู่ครองเรือนเป็นคฤหัสถ์ ก็สามารถศึกษา พระธรรมได้ เป็นคฤหัสถ์ที่ดี พร้อมกับอบรมเจริญปัญญาได้ ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมากที่จะได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้วที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เพราะไม่มีใครสามารถที่จะทราบได้ว่าโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมในชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว การปฏิบัติจะถูกต้องไม่ได้ เมื่อไม่ถูกแล้ว จะเป็นบุญ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การบวชคือการเว้นจากบาป และถึงแม้ไม่ได้บวชก็สามารถรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ได้ ตามการสะสม ที่สำคัญคือการสะสมปัญญาความเห็นถูกจะนำไปสู่การพ้นทุกข์ ค่ะ
ขอสนทนากับท่านเจ้าของกระทู้สักนิดนะครับ ที่ท่านว่า...
"...ผมถามสารพัดเลยครับเกี่ยวกับการบวช การรู้จักพระหลวงพี่ทำให้ผมใจ พองโตมากครับ ทำให้รู้สึกอยากบวชอย่างยิ่ง (ใจจะขาดเลยครับ) ...." แต่ก่อนผมก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้แหละครับ และผมก็ได้บวชถึง ๕ ครั้ง ด้วยกัน แต่เมื่อมาพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลกันจริงๆ แล้ว กลับกลายเป็นว่า ที่ผมบวชนั้นเป็นการบวชด้วยความอยาก และติดในรูปแบบของพระภิกษุ (ติดที่การนุ่งห่ม วัตรปฏิบัติ และอื่นๆ ) มากไปกว่าการเห็นโทษของความติดข้องในชีวิตของความเป็นฆราวาส จึงสละความติดข้องนั้นๆ ออกเพื่อบวชเป็นบรรพชิต ซึ่งนี้เป็นเหตุผลที่แท้จริงของการบวช
นอกจากนั้น ยังไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจท่องแท้ถึงศีลของบรรพชิตว่า แต่ละข้อ แต่ละหมวด นั้น ท่านประสงค์ให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อการละคลายกิเลสอกุศลอย่างไร จึงบัญญัติไว้เช่น นั้น ซึ่งแน่นอนว่าบวชกันไม่กี่วัน กี่เดือน เช่นนี้ ไม่มีทางที่จะศึกษาได้ละเอียดถูกต้องได้ แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้การบวชที่ผ่านมาของผมบกพร่องเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากขาด ความรู้และความเข้าใจที่แท้จริง นอกจากนั้นที่สำคัญคือ สถานที่ที่ประสงค์จะบวชนั้น มีการปฏิบัติที่ถูกต้องตรงกับพระธรรมวินัยเพียงใด เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน เนื่องจาก หากมีการประพฤติปฏิบัติที่ผิดออกไปแล้ว เราเองอาจมีปัญหาหากไม่ประพฤติปฏิบัติตาม อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ กิจของพระภิกษุมีอยู่เพียง ๒ ประการ เท่านั้น คือ คันถธุระ (การศึกษาพระปริยัติ) กับ วิปัสสนาธุระ (การประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) การที่พระภิกษุทำกิจอื่นใดที่นอกเหนือไปจากนี้ ย่อมผิดวัตถุประสงค์ของการบวชและผิดพระธรรมวินัย อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญว่า วัดที่บวชนั้นส่งเสริมธุระทั้งสองแบบนี้อย่างไร
ลองคลิ๊กอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ครับ
วิปัสสนาธุระคือทางลัดใช่หรือไม่
เรื่องการศึกษาพระธรรมพระปริยัติ สามารถศึกษาได้ทันทีเดี๋ยวนี้ เริ่มจากเว็ปไซต์บ้าน ธัมมะนี้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอบวชเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเห็นได้ว่า การบวชเป็นเรื่องยาก หากประสงค์ที่จะให้ถูกต้องจริงๆ และ ย่อมมีผลเสียมาก หากประพฤติปฏิบัติผิด
เมื่อท่านได้ทบทวนความเห็นของอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นข้างต้นให้ดี จะเห็นได้ว่า การพบพระพุทธศาสนาและมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศเป็นสำคัญ ว่า จะเป็นเพศฆราวาส หรือ เพศบรรพชิต แต่เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริงแล้ว เมื่อนั้นได้ชื่อว่าได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว
จึงเรียนท่านเจ้าของกระทู้ว่า ก่อนบวชนั้น ท่านควรพิจารณาด้วยเหตุและผลให้รอบด้าน เสียก่อน เพื่อประโยชน์ที่แท้จริงที่จะได้จากการบวชนั้น ท่านอาจอ่านความเห็นเพิ่มเติมให้ในลิ้งค์นี้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ คุณผู้ร่วมเดินทาง
ขอขอบคุณคำแนะนำดีๆ ที่มีให้กระผมครับ
ณ ตอนนี้ ผมเริ่มแล้วครับเริ่มศึกษาธรรมอย่างจริงจังจากหนังสือและสื่อต่างๆ ผมสวด มนต์เจริญภาวนา นั่งสมาธิ มาตั้งแต่เข้าพรรษาเมื่อ 2 ปีที่แล้วครับ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ ผมครบกำหนดบวช เมื่อ 2 ปีก่อน ผมเริ่มมีจิตศรัทธาและเลื่อมใสอย่างจริงจังต่อพระพุทธศาสนาตั้งแต่ตอนนั้นครับ และการสวดมนต์ภาวนาของผม ที่ผมได้ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายและ ฯลฯ
ผมเชื่อในอานิสงค์จริงๆ ครับ ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ผมสบายใจมากๆ และรู้สึกสงบมากครับ ผมคิดแต่เพียงว่าจะตั้งจิตอธิษฐานขอให้มีโอกาสปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย แต่ติดด้วยที่ว่า แม่ของกระผมบอกว่า "แม่ บนหลวงปู่เอาไว้ ถ้าเรียนจบแล้วค่อยบวช" หลังจากผ่านมา 2 ปี ในปีนี้ผมได้ไปงานบวช เพื่อนๆ หลายต่อหลายคน ผมเข้าไปทำทุกอย่างที่พอจะช่วยได้ในพิธีงานบวช แล้วพอกลับมาบ้านก็มาตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุสักครั้ง เพื่อจะได้น้อมนำบุญกุศลเผื่อแผ่บรรพบุรุษ ญาติ และเจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ เท่าที่ผมเห็นพระสงฆ์ ปัจจุบันบางท่านหย่อนในพระวินัย ไม่สำรวม (ตามที่ผมเคยเพบเห็นครับ)
ถ้าผมมีโอกาสสักครั้ง จะตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ อย่างน้อยใน 100 ก้าว ขอให้ได้สัก 3 ก้าว ก็ยังดีครับ ใจจริงผมอยากบวชแบบยังไม่มีกำหนดสึก แต่ด้วยวิถีชีวิตของผม ด้วยอาชีพของผม ผูกติดอยู่กับทางโลกจึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาในโลกแห่งธรรมมากนัก แต่อย่างไรก็ตามถึงจะอยู่ทางโลกในวันหนึ่งๆ ผมใช้เวลาส่วนหนึ่งในการปฏิบัติธรรมอย่าง น้อยก็ 1 ชั่วโมง กระผมขอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผู้ร่วมเดินทาง ตอนนี้ผมศึกษาพระ ธรรมวินัยอย่างจริงจัง เพราะปีหน้านี้ผมจะบวชแล้วครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหนทางสงบด้วยนะครับ
โดยเฉพาะเริ่มศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง เพื่อเข้าใจเรื่องของการบวชที่ถูกต้องที่สุด ผมขออนุญาตแนะนำให้คุณหนทางสงบฟังเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ฟังเพียงวันละตอนก็ได้นะครับ (ช่วงที่จะแบ่งเวลาปฏิบัติธรรมอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง ต่อวัน) ได้ประโยชน์มากๆ และจะทำให้เข้าใจเรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุดด้วย ครับ