ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๘]
--- ทางเดินของเราว่าส่วนใหญ่เราเดินทางไหน เดินทางอกุศลหรือว่าเดินทางกุศล นี้ก็ เพียงแต่เตือนให้เรารู้ว่าที่เราศึกษาธรรม ก็เพื่อให้ถึงความเข้าใจลักษณะสภาพธรรม ด้วย ความเข้าใจยิ่งขึ้นในความเป็นอนัตตาว่าไม่ใช่เรา เมื่อไหร่จะรู้จริงๆ อย่างนี้ ต้องฟังแล้ว ก็ไตร่ตรองพิจารณา เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ อกุศลสะสมไว้มาก เพียงแค่เมื่อเมื่อวานนี้ ไม่ต้องถึงวันก่อนๆ มีมากแค่ไหน แล้วยังวันนี้อีก แล้วยังต่อไปอีก เพราะฉะนั้น ส่วนของ กุศลที่เราสะสมก็ไม่มากเท่ากับฝ่ายอกุศล แต่ควรที่จะได้สะสมกุศลต่อไปอีกด้วยความ เพียร ด้วยความอดทน ด้วยปัญญาที่เห็นประโยชน์
--- คนที่มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่ไปทรมานตัว ไม่ใช่ไปทำอะไรที่ผิดปกติด้วยความไม่รู้ แต่มีใจเด็ดเดี่ยวที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละการ ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
--- สติเป็นโสภณเจตสิก เกิดกับกุศลจิตทุกดวง สติ มีหลายขั้น สติที่ระลึกเป็นไป ในทานก็ขั้นหนึ่ง สติที่ระลึกเป็นไปในศีลก็ขั้นหนึ่ง สติที่ระลึกทำให้จิตสงบก็ขั้นหนึ่ง สติ ที่รู้ลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพื่อที่จะให้ปัญญารู้ชัดในสภาพนั้น ก็อีกขั้นหนึ่ง
--- บุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ต้องมีความอดทน ละเว้นการทำบาป ทั้งสิ้น มีการอดทนที่จะยังกุศลให้ถึงพร้อม มีความอดทนที่จะยังจิตของตนให้ผ่องใส ขาดความอดทนไม่ได้เลย ถ้าขาดความอดทน ก็เป็นอกุศล แล้วก็สามารถที่จะกระทำ บาปไปทันทีได้ เพราะขาดความอดทน
เวลาที่โกรธ บางคนก็หมดไปโดยง่าย แต่ว่าบางคนก็ยังผูกโกรธ คือ ความ
โกรธนั้น รัดรึงใจไว้บ่อยๆ เดี๋ยวนึกขึ้นมา ก็โกรธอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ ทำไมเรื่อง
นั้นนิดเดียว แต่โกรธ ต่อไปอีกได้ตั้งนาน นั่นเป็น ความผูกโกรธ
บุคคลผู้ที่ลบหลู่ ย่อมกระทำให้คุณงามความดีของคฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต นั้น
ให้เสียไป ท่านอุปมาเหมือนกับคนที่ยากจนขัดสน แล้วก็มีท่านผู้หนึ่งมีจิตเมตตา
อุปการะ แต่ภายหลังเขาก็กล่าวคำว่า ท่านได้ทำอะไรแก่เรา คือ ไม่เห็นคุณ
ของผู้ที่มีคุณ หรือว่า บรรพชิตที่มีอาจารย์ มีอุปัชฌาย์ สงเคราะห์ให้ศึกษาเล่า
เรียน ตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย เมื่อศึกษาเล่าเรียนเป็นผู้ที่ฉลาดเปรื่องปราชญ์ เป็นที่
นับถือของพระราชามหากษัตริย์และบุคคลทั่วไปแล้ว ภายหลัง ก็ไม่ยำเกรงอาจารย์
อุปัชฌาย์ ลบหลู่ว่า ไม่ได้ทำอะไรให้ นี้คือลักษณะของการลบหลู่คุณ ซึ่งเป็น
อกุศล
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนคาดคะเนธรรม
ตามความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีหนทางที่จะผิดได้มาก
เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ แต่ว่าถ้าศึกษาด้วยความละเอียด ก็จะทำให้
เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น
วันนี้ อาจจะอยู่สบายที่บ้าน วันต่อไปก็อาจจะไปอยู่โรงพยาบาลก็ได้ หรือว่า
ที่อื่นก็ได้ แต่ว่า ผู้ที่มีธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ด้วย ก็ย่อมจะพิจารณา
ใคร่ครวญ แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติธรรมได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด
แล้วก็ย่อมจะได้รับความเบาใจ เพราะเหตุว่าได้ประพฤติตามพระธรรมวินัย
เวลานี้ชาติมีแล้ว ชราก็ต้องมี มรณะก็ต้องมี และเมื่อมีชาติ มีการเกิด
แล้ว ที่จะให้พ้นไปจากความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ ความคับแค้นใจนั้น เป็นสิ่งที่
เป็นไปไม่ได้เลย แต่เมื่อใดความบังเกิด คือ ภพใหม่ต่อไป ไม่มี ชาติ ชรา
มรณะ ความเศร้าโศกเสียใจ ความคับแค้นใจ ต่อไป จึงไม่มี
คนที่ประมาท วันหนึ่งๆ ชีวิตก็ผ่านไป ด้วยการที่เพลิดเพลินไปทางตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ หลงยึดถือเป็นไปกับการเป็นตัวตน
โลภะเป็นสภาพของความพอใจ ผู้ที่ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่หมด
ความพอใจ เป็นปกติของคนหนึ่งๆ มากน้อยต่างกัน สภาพของความพอใจเกิดขึ้น
ขณะใด ก็ต้องมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
โทสะ เป็นความไม่แช่มชื่น เป็นความหยาบกระด้างของจิต ซึ่งก็มีเป็นประจำ
ถ้ายังไม่ใช่เป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ว่าผู้ที่หลงลืมสติ เวลาที่โทสะเกิด ก็เป็น
เราโกรธ แต่ว่า ผู้เจริญสติ ก็รู้ว่าลักษณะนั้น เป็นความหยาบกระด้าง ไม่แช่มชื่น
ของจิตในขณะนั้น ซึ่งเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง
เพราะยังมีอวิชชา อยู่ สิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศลทั้งหลาย ก็ตามมาอีกมากมาย,
เพราะยังมีพืชเชื้อของความไม่ดี จึงโกรธได้แม้กระทั่งต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า,
อกุศล เป็นสิ่งที่จะประมาทไม่ได้เลย
อบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขั้นการฟัง และก็พิจารณาเห็น
ว่าถูกต้องตามสิ่งที่ได้ฟังกับความเป็นจริงของสภาพธรรม หรือไม่ ถ้าถูกต้องก็เป็นความ
เห็นถูกที่สะสมความรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะถึงกาลที่ปัญญาสมบูรณ์
ประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ ๔ เมื่อนั้นก็จะดับกิเลสได้ตามลำดับ
ขณะที่มีความเข้าใจ ขณะนั้นละความไม่เข้าใจ แต่ส่วนเรื่องติดข้องให้ทราบว่า
มากมายมหาศาล แม้แต่กำลังนั่งอยู่ขณะนี้ แค่มือเคลื่อนไหวไปนิดหนึ่งโลภะแล้วก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องจริง ยิ่งเข้าใจถูกต้องว่ามีกิเลสมาก ยิ่งเป็นผู้ไม่ประมาทที่
จะต้องอบรมความรู้ความเข้าใจจริงๆ
ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือ ตรง มีสิ่งที่กำลังปรากฏและเมื่อปัญญารู้ก็ต้องรู้
สิ่งที่กำลังปรากฏ จะไปรู้สิ่งอื่นก็ไม่ได้
เวลาที่อกุศลจิตเกิด ก็เป็นของธรรมดา เพราะว่ามีเหตุที่จะเกิดก็เกิดๆ แล้วก็ดับไป
แล้วก็มีการคิดที่เป็นกุศลเกิดต่อก็ได้ถึงเรื่องธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ก็เป็นปกติ ไม่เดือดร้อน
เลยแล้วแต่ว่าอะไรจะเกิด ก็มีความมั่นคงว่าขณะนั้นก็เป็นธรรม แล้วก็มีการที่จะเข้าใจ
ลักษณะของธรรมนั้นจากการฟังและการไตร่ตรองเพิ่มขึ้นด้วย
เวลานี้แน่นอนกำลังมีผลของกรรม เช่น เห็น เป็นผลของกรรม เห็นขณะนี้ไม่มี
ใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ นอกจากกรรม
ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในเรื่องกรรมและผลของกรรม กุศลจิตย่อมเกิดมาก ไม่หวั่น
ไหว
ชีวิตจะดำเนินต่อไปด้วยความเข้าใจธรรม หรือด้วยความไม่เข้าใจธรรม ก็มีอยู่ ๒
ทางเท่านั้น
แม้เพียงคำไทยธรรมดาๆ ว่า สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่สามารถรู้
ได้เลยว่า อะไรคือสิ่งที่มีจริง
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตาม
ความเป็นจริง
จากที่ไม่เคยรู้อะไรเลยตั้งแต่เกิดมา ก็เริ่มเข้าใจขึ้น เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วจะจากโลกนี้ไปพร้อมกับความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
ค่อยๆ รู้ ไม่ใช่ว่าการไปทำอะไรค่อยๆ แต่ความจริงแล้ว คือ จะให้ปัญญา
เกิดเจริญขึ้นในทันทีทันใด ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปที
ละเล็กทีละน้อย
ชีวิต คือ ขณะนี้ที่มีสภาพธรรมกำลังเกิดดับสืบต่ออยู่
เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่โดยสงบ เป็นอยู่โดยหมดจด ด้วยความเข้าใจ-
พระธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๗ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๗...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
-เพราะไม่รู้จึงฟัง เพราะไม่รู้จึงอ่าน ไม่ใช่โดยคิดเดาเอาเอง แต่อ่านเพื่อเข้าใจ
ถูกต้อง ทุกครั้งที่ฟังธรรมหรืออ่านเพื่อให้รู้ยิ่งขึ้น เข้าใจถูกยิ่งขึ้น เพื่อละความไม่รู้
จึงจะละอกุศลอื่นได้
- ทุกคนลืมคิดถึงความตาย ต้องจากทรัพย์ทั้งหมดทุกประการ ไม่เหลืออะไรตาม
ไปด้วยเลย แม้แต่ร่างกายที่เคยยึดว่าเป็นเรา ฉะนั้นการได้เห็นความจริงของ
สภาพธรรมเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะสามารถละคลายความติดข้อง ซึ่งนำมาซึ่งทุกข์
เพราะอยากได้ในสิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไป
- ทุกๆ คนหวังความเจริญในทรัพย์ทั้งหลาย เช่น เรือกสวน ไร่นา บุตรภริยา
โภคทรัพย์ แล้วแต่จะหวังอะไร เพราะยังไม่หมดหวัง แต่ความหวังก็ไม่ใช่สาระ
แท้จริง เพราะตั้งแต่เกิดมาก็คือ ตามมีตามได้ ตามกรรมที่กระทำไว้แล้ว ต้องมี
ทั้งฝ่ายดี และไม่ดี ทั้งสุขทุกข์ แล้วทั้งหมดก็ไม่เหลือ เพราะสาระแท้จริง สิ่งที่ควร
บำเพ็ญ คือ สุตะได้แก่ ศรัทธาที่ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
- ต้นไม้แข็งใหญ่โต ภูเขาแข็งๆ โอนเอียงได้ยากฉันใด อวิชชาความไม่รู้ก็อย่างนั้น
ต้องอาศัยปัญญา จึงสามารถค่อยๆ คล้อยตามความจริงถูกต้องยิ่งขึ้น ที่จะเข้าใจ
ถูกต้องในลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะอื่น แม้แต่จะฟังธรรม ถึง
บอกแล้วว่าจะฟัง ก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้ ฉะนั้นศรัทธา สภาพผ่องใสที่จะเห็นประโยชน์
ของการพ้นจากอกุศล ด้วยการฟังสิ่งที่มีสาระ
- ประโยชน์ยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ฟัง ก็คือหมดโอกาสเข้าใจถูกว่า
เห็น ได้ยิน ก็ดี ไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง เพียงปรากฏแล้วหมดไปไม่กลับมาอีกเลย
แต่ประโยชน์ที่แท้จริง คือ เห็นถูก เข้าใจถูก ศรัทธาฟังธรรม เพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้น
ประเสริฐยิ่งขึ้นตามลำดับ
- การพูดถึงเรื่องราวของธรรมมาก ไม่สำคัญเท่ากับ ขณะที่ธรรมกำลังปรากฏให้เห็น
ให้ได้ยิน แล้วมีความเข้าใจสิ่งนั้นชัดเจนขึ้น การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจ
ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่าเป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็น
โมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วยอวิชชาที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจ
ยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตามความจริง น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้
เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม
ขออนุโมทนา
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนคาดคะเนธรรม
ตามความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีหนทางที่จะผิดได้มาก
เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ แต่ว่าถ้าศึกษาด้วยความละเอียด ก็จะทำให้
เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น
ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในเรื่องกรรมและผลของกรรม กุศลจิตย่อมเกิดมาก ไม่หวั่น
ไหว
เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่โดยสงบ เป็นอยู่โดยหมดจด ด้วยความเข้าใจ-
พระธรรม
- การพูดถึงเรื่องราวของธรรมมาก ไม่สำคัญเท่ากับ ขณะที่ธรรมกำลังปรากฏให้เห็น
ให้ได้ยิน แล้วมีความเข้าใจสิ่งนั้นชัดเจนขึ้น การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจ
ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่าเป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็น
โมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วยอวิชชาที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจ
ยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตามความจริง น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้
เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิม ด้วยค่ะ...