อยากสอบถามเรื่องพระบวชใหม่
เนื่องจากอาตมา (ณ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้บวชเป็นพระ) พึ่งบวชได้ไม่นาน ประมาณ 4 วัน อาตมาบวชตามกองบวชที่ญาติโยมทำไว้ให้ ตอนแรกก็ตั้งใจจะบวชแค่ 7 วัน แต่คิดไป คิดมาอยากจะบวชซัก 15 วัน (นี้คือความคิดก่อนบวช) พออาตมาบวชแล้วได้เพียง 2 วัน โยมเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน (อาตมาก่อนบวชทำงานอิสระ) โยมเพื่อนก็บอกว่า งานมีปัญหา ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ไม่ถึงกับทำให้ล่มจม เพียงแค่จะไม่มีรายได้เข้ามาในระบบงานอาตมาถึง 3 เดือน ซึ่งและตัว (อาตมา ก่อนบวช ก็มีบุตร และภรรยาแล้ว) อาตมารู้สึก เป็นห่วงทั้ง โยมสีกา โยมบุตร และงาน
ณ ขณะนั้นในใจก็ครุ่นคิดอย่างหนักว่าเราควรจะบวชต่อดีไหม หรือ ควรจะลาสิกขา ออกไปเลย นับตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาแล้ว 2 วันตัวอาตมาเองก็ยังคงบวชเป็นพระอยู่ ยังไม่ได้ลาสิกขาออกไป แต่ใจอาตมาเองก็อดคิดถึงเรื่องงานไม่ได้ อาตมาจึงอยากทราบว่า ถ้าหากอาตมาทำงาน (ซึ่งสามารถทำผ่านเครื่อง Computer) ไปด้วยโดยขณะที่ยังบวชอยู่ แต่อาตมา ก็ยังคงทำวัตรเช้า - เย็น และออกบิณฑบาตเป็นปกติ อาตมาจะผิดมากไหม หรือว่า อาตมาควรลาสิกขา เพื่อที่จะได้ไม่ผิดวินัยสงฆ์เพราะอาตมาเองก็ไม่ได้เข้าใจถึงหลักธรรมคำสั่งสอนมากเท่าไร อาตมาเองก็พึ่งบวชได้เพียง 4 วันเท่านั้นเอง จึงอยากจะสอบถามว่า อาตมาสมควรทำอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ
การบวชบรรพชา เป็นการเว้นทั่วจากกิเลส และจุดประสงค์ของการบวช คือเป็น ไปเพื่อละ สละกิเลสจนหมดสิ้น ดังนั้นเพศบรรพชิต จึงเป็นเพศที่ต่างจากคฤหัสถ์ คือจะต้องสละความเป็นเพศคฤหัสถ์ สละอาคาร บ้านเรือน เงินทอง และความประพฤติที่เคยทำดังเช่นคฤหัสถ์ ไม่ว่าการทำการงานทางโลก การหารายได้ และ ความประพฤติที่เป็นดังเช่น คฤหัสถ์ พระภิกษุไม่สามารถทำได้ และ เป็นการผิดพระวินัย เพราะฉะนั้นการบวช จึงต้องรู้จักตนเองเป็นสำคัญว่า บวชเพื่ออะไร และ ตนเองมีอัธยาศัยที่จะสละทุกอย่างหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นการเป็นบรรพชิต ที่ทำผิดพระวินัย ก็ไม่สมควร และเป็นโทษกับตนเองด้วย ซึ่งเป็นอันตรายสำหรับการเป็นเพศบรรพชิตที่ทำผิดครับ
การทำกิจการงาน ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อหารายได้ ทำงานดังเช่นคฤหัสถ์ในเพศบรรพชิต จึงไม่สมควร ผิดพระวินัย ไม่ควรทำครับ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักตนเองว่าเป็นอย่างไร ก็ประพฤติปฏิบัติ และอยู่ในเพศที่สามารถทำกิจการงาน ในเพศนั้น คือ เพศคฤหัสถ์ การเป็นเพศคฤหัสถ์ และ ปฏิบัติตนอันสมควร เลี้ยงดู บิดา มารดา บุตร ภรรยา ด้วยอาชีพที่สุจริต พร้อมกับการเจริญกุศล เจริญปัญญา ศึกษาพระธรรม ก็ชื่อว่า เป็นการใช้ชีวิตที่ประเสริฐ แต่การบวชแล้วไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยและทำผิดพระวินัย ก็เป็นโทษ ครับ ดังนั้นจึงควรรู้จักตนเองว่าตนเองมีอัธยาศัยอย่างไร ที่พร้อมจะเป็นเพศบรรพชิตต่อไป ด้วยการรักษาพระวินัยให้ถูกต้อง หรือเป็นเพศคฤหัสถ์ที่ประพฤติถูกต้อง อันสมควรตามฐานะที่ควรเป็นครับ
ดังนั้น ก็พิจารณาใคร่ครวญ และ ณ ตอนนี้ ก็งดเว้นจากการทำกิจการงานดังเช่นคฤหัสถ์ก่อน คือ งดเว้นจากการใช้คอมพิวเตอร์ แต่หากว่าทำไม่ได้ตอนนี้ คือ ยังประพฤติผิดพระวินัยอยู่ ก็ควรพิจารณาว่า เพศอะไร เหมาะสมกับตนเอง คือ บรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นโทษกับตนเองครับ
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ...
เมื่อบวชแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามสมควร
ภิกษุต้องอาบัติ ถ้าไม่ปลงต้องตกนรกหรือไม่
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ
ตราบใดที่ยังปฏิญาณตนว่า เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ ก็จะต้องน้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย เว้นในสิ่งที่ควรเว้น และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องสมควร ตามเพศของตนๆ เท่านั้น ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้โดยประการทั้งปวง ถ้ามีการล่วงละเมิด จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็มีโทษ เป็นโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว คือ ต้องอาบัติ และการต้องอาบัติไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือหนักก็มีโทษ ตราบใดที่ยังไม่ได้กระทำคืนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็ย่อมมีโทษเป็นเครื่องกั้นสวรรค์
มรรค ผล นิพพาน ไม่ควรเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่คล้อยตามพระธรรมวินัย ก็จะเป็นเหตุให้ล่วงละเมิดสิกขาบท ด้วยความไม่ละอายต่อไปเป็นการทำลายย่ำยีพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่สำคัญคือเป็นโทษแก่ตนเองโดยส่วนเดียว
การอบรมเจริญปัญญา และ สะสมความดีประการต่างๆ ไม่ได้จำกัดที่เพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นคุณประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าพระเล่นคอมพิวเตอร์เพื่อหารายได้ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ และ ผิดพระวินัย ต้องอาบัติ การจะเป็นพระภิกษุที่ดี ต้องเคร่งครัด พระวินัย ค่ะ
ไม่ต้องกังวลมากนักว่าจะผิดยังไง ผิดมาก ผิดน้อย เพราะความกังวล ความ ห่วงใยบ้านช่อง การงาน บุตร ภรรยา ฯลฯ รวมทั้งบวชมาแล้วก็ยังกังวลเรื่องการรักษาศีล ความกังวล ความห่วงใย เป็นอกุศลอย่างหนึ่ง กุศลและอกุศลเราเคยทำมานัก ต่อนักแล้วครับ ไม่ว่าตัวเราและคนอื่น ไม่ว่าจะบวชหรือไม่บวช และก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าชาติที่ผ่านๆ มานับไม่ถ้วน ตอนนี้ ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป
สิ่งสำคัญ คือการศึกษาพระธรรมคำสอนของ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างละเอียดลึกซึ้งด้วยความเคารพ ค่อยๆ พิจารณาคำสอนจะช่วยให้เราพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องก็ค่อยๆ เห็นโทษ มีหิริโอตตัปปะ ค่อยๆ เลิก ละ ลดลง ไปเรื่อยๆ เห็นประโยชน์ของความดีงาม กุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อยก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะเข้าใจธรรมมากขึ้น ละคลายความกังวล ติดข้องไปเรื่อยๆ สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ครับ ไม่ว่าจะบวชหรือไม่บวชก็ตามครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
คนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นกิเลสของตัวเองและไม่ได้สะสมอุปนิสัยในการสละเพศคฤหัสถ์ แล้วบวช นั้น ไม่ใช่ผู้ที่จริงใจและไม่ใช่ผู้ตรง เพราะถามว่าบวชทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเหตุนั้นๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้เข้าใจพระธรรมและรู้อัธยาศัยของตนเองว่าเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุตามพระธรรมวินัยแล้ว สมควรบวชไหม การบวชเป็นภิกษุไม่ใช่เป็นอยู่อย่างสบายให้ผู้คนกราบไหว้ แต่เพราะเป็นผู้ที่เห็นกิเลสและเห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าหนทางเดียวที่จะขัดเกลากิเลสก็ด้วยความเข้าใจพระธรรมจึงบวชเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคฤหัสถ์และบรรพชิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อ่านเพิ่มเติม