การได้อภิญญา
ขอรบกวนถามท่านพระอาจารย์ครับ กระผมมีความสับสนอยู่เรื่องหนึ่ง คือ การได้มาของอภิญญา (การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ฯ) ได้มาจากการทำสมถะหรือวิปัสสนาครับ มีพระอาจารย์บางท่านบอกว่าได้จากการทำสมถะ บางท่านบอกว่าได้จากการทำสติปัฏฐาน ๔ (รู้ทันกาย เวทนา จิต สภาวธรรม) กระผมคิดว่าสติปัฐาน ๔ ก็คือวิปัสสนาใช่หรือเปล่าครับ หรือความจริงเป็นเช่นไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึงคำอะไรก็ต้องมีความเข้าใจคำนั้นๆ ด้วย คือ คำว่า อภิญญา โดยศัพท์ อภิญญา หมายถึง ความรู้อย่างยิ่งยวด ความรู้ที่ยิ่ง ซึ่งเป็นผลจากการอบรมสมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา ตามควรแก่อภิญญา นั้นๆ เวลาศึกษาพระธรรมอ่านข้อความจากพระไตรปิฎก จะพบทั้งอภิญญา ๕ และ อภิญญา ๖ ซึ่งมีความแตกต่างดังนี้
อภิญญา ๕ เป็นโลกิยะอย่างเดียว ส่วนอภิญญา ๖ มีทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ดังข้อความจาก
[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ หน้าที่๖๘๒ ว่า
บทว่า ฉนฺนํ อภิญฺญานํ (อภิญญา ๖) คือ อิทธิวิธะ (แสดงฤทธิ์ได้) ๑ ทิพยโสตะ (หูทิพย์) ๑ เจโตปริยญาณ (รู้จักกำหนดใจผู้อื่น) ๑ ปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ๑ ทิพยจักขุ (ตาทิพย์) ๑ อาสวักขยญาณ (รู้จักทำอาสวะให้สิ้น) ๑
ทำให้เข้าใจได้ว่า อภิญญา ที่ ๑ - ๕ เป็นโลกิยะเท่านั้น เป็นผลของการอบรมสมถภาวนา ส่วนอภิญญา ที่ ๖ คือ อาสวักขยญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่ทำให้สิ้นกิเลสที่หมักดองไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และไหลไปทุกภพภูมิได้จนหมดสิ้น เป็นโลกุตตระอย่างเดียว เพราะสามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น เป็นผลมาจากการอบรมเจริญวิปัสสนาภาวนาเท่านั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานก็เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา เป็นไปเพื่อระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง
ดังนั้น สรุปได้ว่า การได้อภิญญา มาจากการอบรมสมถภาวนา กับ วิปัสสนาภาวนา การได้อภิญญาที่เป็นโลกิยะนั้น เป็นผลของการอบรมเจริญสมถภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับกิเลส แม้ก่อนสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ ก็มีฤาษีที่เจริญสมถภาวนาจนได้อภิญญา ๕ แต่ก็ไม่สามารถดับกิเลส ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ยังไม่พ้นจากทุกข์
เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ทรงแสดงหนทางหลุดพ้นจากทุกข์ คือ การเจริญวิปัสสนา ทำให้สาวกทั้งหลายได้เข้าใจและดำเนินตามหนทางดังกล่าวนี้ ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ถึงความเป็นผู้สามารถดับกิเลสตามลำดับขั้น จนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น แม้บางท่านจะไม่ได้ฌานด้วยก็ตาม แสดงให้เห็นว่า ประโยชน์สูงสุดที่ควรได้ คือ การดับกิเลสที่เป็นสาระสูงสุดของชีวิต ซึ่งการจะไปถึงตรงนั้นได้ ก็ต้องเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
ขอเขิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง และมีหลากหลายนัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แม้แต่ในเรื่องของอภิญญา ซึ่งอภิญญา คือ ความรู้ยวดยิ่งเกินกว่ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งตามที่ผู้ถามกล่าวว่าเป็นผลของการเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาในการได้อภิญญา ซึ่งในความละเอียดของอภิญญาที่เป็นความรู้ยวดยิ่งนั้น มีหลากหลายนัย และหลายอย่าง ทั้งที่เป็นความสามารถพิเศษที่เป็นตาทิพย์ หูทิพย์ เป็นต้นเหล่านี้ ก็เป็นความรู้ยวดยิ่ง ที่เกิดจากการเจริญสมถภาวนา ไม่เพียงเท่านั้น ต้องได้ฌานสูงสุดด้วย และไม่ใช่เพียงได้ฌานขั้นสูงสุด แต่จะต้องอบรมจนคล่องแคล่ว ชำนาญในการเข้าและออกจากฌาน จึงจะถึงความเป็นผู้ได้อภิญญา ซึ่งการได้อภิญญาที่เกิดจาการเจริญสมถภาวนา คือ ได้อภิญญา ๕ แต่การได้อภิญญา ๕ ไม่ได้หมายถึงการดับกิเลส เพียงแต่ทำให้เกิดความสงบจากกิเลส จนมีกำลังถึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เพราะอภิญญา ๕ ที่เป็นการแสดงฤทธิ์ได้ เกิดจากการเจริญสมถภาวนา ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา แต่ในความละเอียดลงไปกว่านั้น ซึ่งแสดงในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะแสดงในส่วนที่เรียกว่า มหาอภิญญา คือ อภิญญา ๖ ที่เป็นอภิญญาที่สามารถดับกิเลสได้ด้วย ที่เป็นอาสวักขยญาณ
ซึ่งหากว่าผู้ศึกษาอ่านข้อความในพระไตรปิฎกไม่ละเอียด ย่อมสำคัญว่าการอบรมวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน สามารถทำให้ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ แต่แท้ที่จริง การเจริญวิปัสสนา หรือ สติปัฏฐาน ๔ อย่างเดียว สามารถทำให้ดับกิเลส สงบจากกิเลสได้สูงสุด เพราะดับกิเลสจนหมดสิ้น ครับ แต่ไม่สามารถได้ฤทธิ์ ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ และไม่สามารถได้แม้แต่การได้ อภิญญา ๕ และ อภิญญา ๖ เพราะเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่ได้เจริญสมถภาวนาควบคู่กันไป ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานอย่างเดียวจนดับกิเลสได้ เรียกว่า พระอรหันต์สุขวิปัสสก เป็นพระอรหันต์ที่ไม่ได้อภิญญา ๕ และ ๖
อภิญญา ๕ ที่แสดงฤทธิ์ได้ แต่ไม่ได้ดับกิเลส เกิดจากการเจริญสมถภาวนาอย่างเดียว อภิญญา ๖ แสดงฤทธิ์ได้ด้วย และ ดับกิเลสได้ด้วย ไม่ใช่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว แต่เกิดการเจริญสติปัฏฐานด้วยและสมถภาวนาด้วย ครับ
ซึ่งข้อความที่จะขอยกเป็นข้อความที่ละเอียดลึกซึ้ง และ ควรพิจารณาให้ละเอียด ดังนี้
[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 470
๘. โลกสูตร
ว่าด้วยผู้รู้โลก
[๗๘๕] นิทานต้นสูตรเหมือนกัน. ครั้นท่านพระสารีบุตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า
[๗๘๖] ท่านพระอนุรุทธะถึงความเป็นผู้มีอภิญญามาก เพราะได้เจริญได้กระทำให้มากซึ่งธรรมเหล่าไหน. ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ผมถึงความเป็นผู้มีอภิญญามาก เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔. สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา เห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสีย. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ . .. ย่อมพิจารณา เห็นจิตในจิตอยู่ . . . ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนผู้มีอายุ ผมถึงความเป็นผู้มีอภิญญามาก็เพราะได้เจริญได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล และเพราะได้เจริญ ได้ทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล ผมจึงรู้โลกได้ตั้งพัน.
จบโลกสูตรที่ ๘
จากข้อความนี้ หากอ่านเพียงเผินๆ ย่อมสำคัญว่า การจะได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ดังเช่น ท่านพระอนุรุทธะ ก็ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น คือ เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่การเจริญสมถภาวนา เพราะข้อความในพระไตรปิฎก แสดงอย่างนั้น แต่ในความละเอียดลึกลงไป ตามที่กล่าวแล้วว่า อภิญญาไม่ใช่มีแค่การแสดงฤทธิ์ได้ ที่เป็นอภิญญา ๕ แต่ยังมีอภิญญา ๖ ที่รวมทั้งการแสดงฤทธิ์ได้และดับกิเลสได้ด้วย ดังนั้น การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นำมาซึ่งการดับกิเลส ซึ่งท่านพระอนุรุทธะเป็นอสีติมหาสาวก ผู้เลิศในด้านหูทิพย์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ท่านได้อภิญญา ๖ ที่เรียกว่า มหาอภิญญา ไม่ใช่อภิญญาทั่วไป เพราะอาศัยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ควบคู่กับการเจริญสมถภาวนา เพราะท่านได้ฌาน โลกุตตรฌาน ถึงการดับกิเลส พร้อมด้วยองค์ฌานที่เจริญสมถภาวนามาด้วย ท่านจึงได้อภิญญา ๖ ถึงการดับกิเลส และได้ฤทธิ์ด้วย ซึ่งการได้ฤทธิ์ มีตาทิพย์ หูทิพย์ เพราะการเจริญสมถภาวนา ส่วนการถึงการดับกิเลสได้เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ จึงถึงการได้มหาอภิญญา ที่ไม่ใช่อภิญญาธรรมดาที่เพียงได้ฤทธิ์ แต่ไม่ถึงการดับกิเลสครับ
ดังนั้น เราจะต้องแยกว่า การเจริญสติปัฏฐานทำให้ถึงการดับกิเลส ส่วนการจริญสมถภาวนาทำให้ได้ฤทธิ์ การเจริญสมถภาวนาไม่ได้ทำให้ดับกิเลส การเจริญสติปัฏฐานไม่ได้ทำให้ได้ฤทธิ์ ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนได้ฌานสูงสุดอย่างเดียว ย่อมได้อภิญญา ๕ ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ ได้ฤทธิ์ แต่ไม่ได้ถึงการดับกิเลส ส่วนผู้ที่เจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ก็ย่อมไม่ถึงอภิญญา ๕ และ อภิญญา ๖ เลย ได้เพียงการดับกิเลสได้ เป็นพระอรหันต์ที่เป็นสุขวิปัสสก คือ ดับกิเลสได้อย่างเดียวเท่านั้น อันนี้ เราจะต้องเข้าใจถูกว่า สติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ได้อภิญญาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจผิดว่าถ้าเจริญสติปัฏฐานแล้ว ใครก็ตามที่เจริญจะได้อภิญญาอันนี้เข้าใจผิด ครับ
แต่ส่วนผู้ที่เจริญฌานสูงสุดด้วยพร้อมกับการเจริญวิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ ย่อมได้อภิญญา ๖ อันเป็นมหาอภิญญา ที่สามารถได้ฤทธิ์ และ ดับกิเลสได้หมดสิ้นด้วย ครับ ดังนั้น สติปัฎฐานที่เป็นไปเพื่อได้อภิญญา จะต้องเป็นสติปัฏฐานที่เจริญพร้อมกับการเจริญฌาน สมถภาวนา จนได้ฌานสูงสุด จึงจะทำให้ถึงการได้อภิญญา อันมีสติปัฏฐาน ๔ เป็นธรรมที่ทำให้ได้อภิญญา และ ที่ละเอียดลงไปอีก คือ สติปัฏฐานที่ทำให้ถึงการดับกิเลส พร้อมทั้งการได้ฌาน ย่อมทำให้ฌานมีกำลังมาก ถึงการแสดงฤทธิ์ได้มีกำลังเพราะอาศัยการละกิเลสจนหมดสิ้นแล้วด้วย ที่เป็นมหาอภิญญา สมดังที่ท่านพระอนุรุทธะกล่าว่า ท่านแสดงฤทธิ์ได้มาก มีกำลังมาก เพราะอาศัยการเจริญสติปัฏฐาน แต่ในข้อความนั้น ท่านก็เจริญสมถภาวนา ได้ฌานสูงสุด ควบคู่กันไปด้วย ครับ
การอ่านข้อความในพระไตรปิฎก และ พิจารณาธรรม จึงต้องละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง เพราะพระธรรมละเอียดลึกซึ้ง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ
เคยได้ยินว่า สมถภาวนา คือ การตั้งมั่นสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และ วิปัสสนาภาวนา คือการตั้งสติเพื่อติดตามความจริงหรือความเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และที่อ่านข้างต้นบอกว่าหมายถึงสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจครับ
จึงขอสอบถามว่าสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา และสติปัฏฐาน ๔ คือ อะไรครับ หากเป็นเรื่องละเอียดมากๆ ขอความเข้าใจคร่าวๆ ก็ได้ครับ
ขอบพระคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ ๔ ครับ
ขอเชิญคลิกเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อต่อไปนี้ ครับ
สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา มีจุดประสงค์ต่างกันอย่างไร
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาครับ
ขอรบกวนถามต่อไปด้วยครับ ถ้ากระผมต้องการได้อภิญญาแล้ว กระผมจะทำการฝึกสมาธิแบบอานาปสติด้วยวิธีกำหนดลมหายใจเข้าออก ไปเรื่อยๆ จนถึง ญาณ 4 (จตุตถญาณ) ทุกคืนทำอย่างนี้ผมจะได้อญิญญาหรือเปล่าครับ หมายความว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
การศึกษาธรรมที่ถูกต้อง คือ เป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อได้ ดังนั้น การศึกษาธรรมเพื่อละคลายกิเลส ไม่ใช่การได้อภิญญา ซึ่ง ผู้ที่จะได้อภิญญา ต้องเป็นกาลสมัยอันสมควร ในสมัยพุทธกาล ที่เป็นผู้มีปัญญามาก ไม่ใช่สมัยนี้ ดังนั้น ควรฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ต้องไปนั่ง ไปกำหนดลมหายใจ ขอให้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์