ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๙]
--- ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเป็นสติ ไม่ว่าจะเป็นเห็น ไม่ว่าจะเป็นได้ยิน ธรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสังขารธรรม อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สติเป็นสังขารธรรมด้วย ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย การเห็นก็ต้องมีเหตุปัจจัย โลภะก็ต้องมีเหตุปัจจัย โทสะก็ต้องมีเหตุปัจจัย
--- ในเวลานี้ ถ้าเพลินไป ติดข้องยินดีพอใจ หรือ ถ้าเกิดความไม่แช่มชื่น ไม่พอใจ ไม่พิจารณาสภาพลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลทั้งหมด
--- เห็นกำลังของความโกรธได้จริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมารดาบิดา อาจจะได้รับความรู้สึกกระทบกระเทือนใจจากความโกรธของลูก เวลาที่ความโกรธมีกำลัง อาจจะกระทำให้มารดาบิดาเสียใจ ทั้งทางกายก็ได้ ทางวาจาก็ได้ ทั้งๆ ที่ในยามที่ไม่โกรธ ก็อาจจะตั้งใจว่า จะเป็นลูกที่ดี ที่จะเลี้ยงดูอุปการะพ่อแม่ในยามแก่ยามเฒ่า แต่พอเกิดโกรธขึ้นมา กำลังของความโกรธอาจจะทำให้ถึงกับประทุษร้ายได้
--- เมื่อเป็นกิเลสที่มีกำลัง ก็ย่อมจะกระทำกรรมต่างๆ ตามกำลังของกิเลสนั้นๆ
--- พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นอกุศลธรรมต่างๆ ก็เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้ฝึกฝนตน อบรมปัญญา มีความเพียรที่จะดับกิเลสทั้งหมด แต่ก็ต้องพิจารณาพระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อประโยชน์แก่ตัวของท่านเอง
--- การที่ท่านพูดไม่จริง เป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่น ไม่ให้คนอื่นได้รู้เรื่องจริง ไม่ให้คนอื่นได้รู้ความจริง ความโกรธ ความประทุษร้าย ไม่เมตตาต่อผู้อื่น จึงกล่าวมุสาได้
--- เวลาที่ดื่มสุราแล้วขาดสติ หลงลืมสติอย่างมาก และผู้ที่ดื่มสุราก็เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อมีสุราเป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้กิเลสเหล่านั้นเกิดมีกำลังกล้าขึ้น ย่อมจะสามารถทำทุจริตกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อนได้
--- สำหรับเรื่องของการรักษาศีลทุกข้อนี้ จะสำเร็จเป็นไปได้ก็เพราะเมตตา คือ อโทสะ ความไม่โกรธ, ในเรื่องของทานการให้นั้น จะกระทำให้สำเร็จได้ก็ด้วย อโลภะ เพราะเหตุว่าถ้าตราบใดยังมีความติดข้องหวงแหนในวัตถุ วัตถุนั้นท่านไม่อาจสละให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ เพราะฉะนั้น ทานก็อาศัยอโลภะเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะให้บำเพ็ญทานกุศลได้
--- ถึงแม้ว่าจะได้ฟังมาก แต่ว่าถ้าไม่ได้ประพฤติธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลส และไม่งดเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจาด้วย ที่เต็มไปด้วยกิเลส ก็ยิ่งจะพอกพูนหนาแน่น จนกระทั่งเป็นเหตุให้ล่วงออกมาเป็นกายทุจริต วจีทุจริต เป็นกิเลสหยาบขั้นต่างๆ อยู่เรื่อยๆ
--- พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต และทรงแสดงคุณของกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แต่ว่าก็ยังมีผู้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตอยู่ เพราะอะไร? เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงโทษไว้อีกหลายประการอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่กิเลสที่สะสมมามีกำลังเมื่อไร ก็แสดงความเป็นอนัตตาเมื่อนั้น คือ กระทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตไปในขณะนั้นเอง
--- สำหรับในเรื่องคำพูดนี้ ก็จะเห็นได้ว่า เป็นสิ่งสำคัญมาก นำมาให้ได้ทั้งความสุขและความทุกข์ และคำพูดอย่างไหนจะนำความทุกข์มาให้ คำพูดอย่างไหนจะนำความสุขมาให้ ถ้าเป็นคำจริง ย่อมนำความสุขมาให้ แต่ถ้าเป็นคำเท็จ อาจจะเป็นเพียงปลอบใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่สามารถจะนำความสุขที่แท้จริงมาให้ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่คำจริง
--- ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุเคราะห์สัตว์โลกแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดที่จะรู้หนทางที่จะประพฤติปฏิบัติดำเนินไปสู่การดับทุกข์ได้
--- ปฏิสันถาร (การต้อนรับ) มี ๒ อย่าง คือ อามิสปฏิสันถาร (การต้อนรับด้วยวัตถุสิ่งของ) กับ ธัมมปฏิสันถาร (การต้อนรับด้วยธรรม) ถ้าเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการต้อนรับด้วยอามิส ด้วยวัตถุสิ่งของ ซึ่งจะเป็นที่สบายใจสะดวกใจแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติ คือ ให้อามิสปฏิสันถาร สำหรับธัมมปฏิสันถาร นั้น เพราะเหตุว่าเห็นคุณค่าของธรรมว่า สิ่งที่ควรที่จะให้ที่สุดก็คือธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อพบปะบุคคลใด ก็มีธัมมปฏิสันถาร เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่มีความเคารพในธัมมปฏิสันถาร
--- พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม เพื่อทรงอนุเคราะห์ให้ผู้ฟังได้มีความเข้าใจพระธรรม ที่จะให้มีการรักษาจิต (ที่เต็มไปด้วยโรคคือกิเลสหลายโรค) ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกที่จะทำให้พ้นจากการกระทำอกุศลกรรม (รักษาจิต ด้วยความเข้าใจพระธรรม)
--- โอกาสที่จะไปเกิดในอบายภูมิก็มีได้ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ควรเติมกุศลทุกๆ วัน
--- กล่าวถึงผลที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจว่า ต้องมาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว เพราะ มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลจึงเกิดขึ้น
--- ก่อนเกิดมาในโลกนี้ชาตินี้ รู้ไหมว่าเป็นใครมาจากไหน? ไม่รู้เลย แต่ชาตินี้ได้เกิดแล้ว ซึ่งเป็นผลของกรรมที่เป็นกุศลกรรม จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ
--- ความเข้าใจธรรมในขณะนี้ ก็เป็นกรรมด้วย คือ เป็นกุศลกรรม
--- ความน่าอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา คือ ทำให้รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
--- เจตนาเลวๆ (เจตนาชั่วๆ ) มีไหม? มี, ถ้ามีเจตนาเลวๆ แล้ว จะให้ผลที่ดีเกิดขึ้น จะเป็นไปได้อย่างไร
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๘ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๘...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- ปัญญาต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติตาม ความเป็นจริง ต้องทราบว่าขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับๆ แต่ว่าการเกิดดับนั้น รวดเร็วมาก จนกระทั่งเมื่อ ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็มีการจดจำสิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เป็นโลกียะต้องประจักษ์ความจริงของโลก คือ สภาพธรรมที่ เกิดขึ้นในขณะนี้ แล้วดับในขณะนี้ นั่นจึงเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเริ่มจาก ปัญญาขั้นฟัง ตลอด ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม ก็เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทได้ฟัง พระธรรมทีทรงตรัสรู้
- แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเลยตามเหตุตามปัจจัยที่ได้ สะสมมา เช่น เห็นดอกไม้ ท่านหนึ่งพอใจว่าสวย อีกท่านหนึ่งว่าไม่สวย ฉะนั้น สวย หรือไม่สวยจึงเป็นความคิดของแต่ละคน โลกที่แท้จริงจึงเป็นโลกของความคิดของ แต่ละบุคคล เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ ก็จะรู้ชัดว่า ขณะนั้นเป็นนามธรรมที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตามเมื่อรู้ลักษณะ ของนามธรรมที่คิด ก็รู้ว่าเรื่องราวที่เป็นคน สัตว์ต่างๆ ไม่มีจริงๆ ขณะที่เป็นทุกข์กังวล ใจ ก็รู้ว่าทุกข์เพราะความคิด ขณะที่เป็นสุขก็โดยนัยเดียวกันขณะที่ดูโทรทัศน์เรื่องที่ ชอบใจ ก็เป็นสุขเพราะคิดตามภาพที่เห็นฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ก็อยู่ในโลก ของความคิดนึกนั่นเองโลกแต่ละขณะจึงเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็คิดนึกต่อทางใจ เป็นเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง
- ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาดูว่าอกุศลมากหรือกุศลมาก ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะเจริญ กุศลทางใด ก็ไม่ควรให้โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด ฉะนั้น ผู้ที่เห็นภัยของอกุศลจึงเจริญกุศลเพื่อละอกุศลให้เบาบางลง จะด้วยการเจริญกุศล ทางหนึ่งทางใดก็ตาม
- จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละขณะเกิดขึ้น และ ดับไป ไม่เหลืออะไรเลย ไม่กลับมาอีก ในแต่ละวัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบ สัมผัส และก็คิดนึก ไม่เคยรู้ความจริง จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันในแต่ละภพชาติ เกิด แล้วตาย ตายแล้วเกิดโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงปรากฏให้ได้เห็น เพียงปรากฏให้ได้ยิน...แล้วดับไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วตามเหตุปัจจัย อยู่มาแล้ว นานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่รู้ความจริง จึงต้องเกิดขึ้นมาเห็นอีกได้ยินอีก ไม่มีวัน สิ้นสุด ชีวิตที่ประเสริฐคือ มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ความเห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนา
ความน่าอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา คือ ทำให้รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
ขออนุโมทนาค่ะ
--- ในเวลานี้ ถ้าเพลินไป ติดข้องยินดีพอใจ หรือ ถ้าเกิดความไม่แช่มชื่น ไม่พอใจ ไม่พิจารณาสภาพลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นก็เป็นอกุศลทั้งหมด
--- เจตนาเลวๆ (เจตนาชั่วๆ ) มีไหม? มี, ถ้ามีเจตนาเลวๆ แล้ว จะให้ ผลที่ดีเกิดขึ้น จะเป็นไปได้อย่างไร
--- จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละขณะเกิดขึ้น และ ดับไป ไม่เหลืออะไรเลย ไม่กลับมาอีก ในแต่ละวัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบ สัมผัส และก็คิดนึก ไม่เคยรู้ความจริง จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันในแต่ละภพชาติ เกิด แล้วตาย ตายแล้วเกิดโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงปรากฏให้ได้เห็น เพียงปรากฏให้ได้ยิน...แล้วดับไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วตามเหตุปัจจัย อยู่มาแล้ว นานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่รู้ความจริง จึงต้องเกิดขึ้นมาเห็นอีกได้ยินอีก ไม่มีวัน สิ้นสุด ชีวิตที่ประเสริฐคือ มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ความเห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น และ อ. เผดิม ด้วยค่ะ...
อ่านแล้วชอบข้อความที่เตือนเรื่องคำพูดมาก..สำหรับในเรื่องคำพูดนี้ ก็จะเห็นได้ว่า เป็นสิ่งสำคัญมาก นำมาให้ได้ทั้งความสุขและความทุกข์ และคำพูดอย่างไหนจะนำความทุกข์มาให้ คำพูดอย่างไหนจะนำความสุขมาให้ ถ้าเป็นคำจริง ย่อมนำความสุขมาให้ แต่ถ้าเป็นคำเท็จ อาจจะเป็นเพียงปลอบใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่สามารถจะนำความสุขที่แท้จริงมาให้ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่คำจริง..
ขออนุโมทนาคะ
เวลาที่ดื่มสุราแล้วขาดสติ หลงลืมสติอย่างมาก และผู้ที่ดื่มสุราก็เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อมีสุราเป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้กิเลสเหล่านั้นเกิดมีกำลังกล้าขึ้น ย่อมจะสามารถทำทุจริตกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อนได้
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ