อยากให้สมาชิกช่วย แบ่งปัน ความคิดที่ดีๆต่อกัน

 
boonpoj
วันที่  8 พ.ค. 2556
หมายเลข  22873
อ่าน  1,310

ผมอยากจะขอแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นของตัวผมเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้ง สิ้น อยากให้สมาชิกใน บ้านธัมมะนี้ เล่าเรื่องและนำเรื่องดีๆ ที่ได้ปฏิบัติธรรม มาก่อน มาแบ่งปัน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ยังไม่ได้ทำไม่ได้ปฏิบัติ คอยเป็นพี่เลี้ยงให้เดินไปใน ทาง ที่ถูกที่ดี บางคนก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนก่อน บางคนก็ วกไปเวียนมา แล้วก็เกิด ท้อใจ เกิดสับสน (โมหะ) ใครมาพูดอะไรให้ฟังก็คล้อยตาม เชื่อคนง่าย เพราะว่าการ สื่อสารสมัยนี้ รวดเร็ว กว้างขวาง ตามไม่ค่อยจะทัน ไดเรคเซล ก็มีมากมาย แม้กระทั่งศาสนา ก็มี

มนุษย์เราทุกคนนี้ (สมมติ) มีความคิดเห็นไม่ค่อยเหมือนกัน ร้อย อย่าง พัน อย่าง ต่างคนก็คิดว่า ของตัวเอง ของเพื่อนฝูง ของตัวเองถูกต้อง ของคนอื่นที่ไม่เหมือนกับของตัวเอง ผิดหมด บางคนก็คิดว่า อ่านหนังสือ มามาก รู้จักกับผู้คนที่มีชื่อเสียงมา มาก คิดว่าตัวเองเก่งกว่าไม่ค่อยยอมรับฟังผู้ใด เป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัย พุทธกาลแล้ว ลองมาคิดว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา เหมือนเราดูฟุตบอล ถอยออกมาอยู่นอกสนาม เราอาจจะเห็นอะไรดีๆ คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาก็ได้ ดีกว่าลงไปเล่นในสนาม (ทะเลาะกัน) แต่ทุกคนก็ไม่รู้และอาจจะลืมไปว่า ที่ได้เกิดมาใน พ.ศ.นี้ เป็นช่วง กาลวิบัติ ข้าวยากหมากแพง จะเกิด สงครามได้ทุกเวลา พวกเราทั้งหมด อาจจะ จิตจุติ พร้อม กัน ก็ได้ ไม่มีไครรู้


ลองใช้ปัญญาของตนเองที่ได้สะสมมา ลองพิจารณาดูว่า ที่สุดของในโลกนี้ ผู้ที่ให้ และ ผู้ที่ เสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นั้นมีไคร บ้าง ผมคิดว่าพระสัมมา สัมพุทธเจ้าองค์นี้ เหมาะที่สุดที่เราท่านทั้งหลายควรที่จะเดินตามรอยพระองค์ท่านท่านปฏิบัติอย่างไร ความเป็นอยู่ อย่างไร สั่งสอน ธรรมะ แบบไหน ตลอด๔๕ ปี ต้อง พบเห็นอะไรบ้าง เราทุกคน คงได้เรียนรู้มาแล้ว แต่จะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ อย่างไร ก็ แล้วแต่ กุศลกรรม วิบากกรรม ของแต่ละท่าน พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อ 10 อย่าง คือ ๑ อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ๒ อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา ๓ อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้ ๔ อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา ๕ อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง ๖ อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน ๗ อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ ๘ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว ๙ อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ๑๐ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่า สมณะนี้เป็นครู พระพุทธเจ้า ท่านให้ อิสระความคิดของเรา ทุกๆ คน ตัวผมเองได้ลอง ปฏิบัติ ตามคำสอนของ พุทธองค์ แล้วได้ผลดี ทุกอย่าง ในชีวิตประจำวัน ดีขึ้น ถึงได้เข้าใจ ว่า ความดี ความไม่ดี (ชั่ว) ไม่ต้องไปหาที่ไหน มีอยู่ในตัวเรานี่เอง ถ้าเราอยากจะ ควบคุมมันให้ได้ก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของ พุทธองค์เท่านั้น คำสอน อื่นๆ ตำราอื่นๆ ถ้า เหมือนกันกับของ พระพุทธองค์ ก็เป็นอันใช้ได้ ครับ ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 9 พ.ค. 2556

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 พ.ค. 2556

แนะนำให้ฟังไฟล์เสียงที่มีในเวปนี้ และ เอ็มพีสาม ที่มีจำหน่ายที่ มูลนิธิฯ ในทุกๆ วัน ทุกเวลาที่ว่างครับ ฟังๆ ฟัง และ เข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟังครับ ไม่ต้องทำอะไร นอกจากฟัง และ เข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟัง ครับ ไม่เข้าใจก็ฟังอีกและฟังอีก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
boonpoj
วันที่ 9 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 10 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 10 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
suppermarcro
วันที่ 12 พ.ค. 2556

ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนผู้คนมากมายมักแสวงหาธรรมะ แต่ไม่รู้ธรรมะที่แท้จริง และเข้าไปศึกษาตามผู้สอน แนะนำตามที่สนใจที่เจอ ตามสื่อต่างๆ เมื่อได้ปฏิบัติตาม กิเลสและทุกข์ยังมีขึ้นอยู่เนื่องๆ ในตัวตน เพราะสิ่งที่สอน ยังมีสิ่งอื่นนอกจากธรรมะปนมา เดี๋ยวนี้แม้ผมจะยิ้มและหัวเราะน้อยลง แต่ผมพบว่าทุกข์ผมน้อยลงไป อาการร้อน ก็ไม่ร้อนใจ รอบข้างมีเสียงรบกวนก็อยู่ได้ ไม่ต้องดินรน หยุดงาน ลางาน เก็บเงินเก็บทอง เดินทางไปแสวงหา ...หาอะไร ได้อะไร ต้องขอบคุณท่าน อ.สุจินต์และสมาชิก ทุกท่านที่แนะนำ คำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อลดทุกข์ กิเลสในตัวตน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
boonpoj
วันที่ 14 พ.ค. 2556

ลองมาคิดดูว่า ร่างกายของเรา เปรียบเหมือน กล้องถ่าย วีดีโอ ที่มี ๖ เลนส์

เลนส์ ธรรมดา ๑ คู่ เลนส์ พิเศษ ๕ คู่ (ทวารทั้ง๖) ทุกเลนส์ มีโปรแกรมพิเศษ รับ

สัญญานแล้ว ส่งไปให้ จิตใจเรา เก็บ ข้อมูลไว้ ตั้งแต่เราเกิดมา เก็บข้อมูลถ่าย วีดีโอ

ไว้กี่เรื่องแล้ว คงจะมี ทั้งเรื่องรัก เรื่องชีวิต เรื่องบู๊ เรื่องต่างๆ นับไม่ถ้วน รวมทั้งอดีต

ชาติ ของเราอีก ไม่รู้ว่า เก็บเอาอะไรมาบ้าง บางคน เก็บไว้มากจนหัวแทบระเบิด

หลงๆ ลืมๆ ไปก็มี ข้อมูลที่เราเก็บไว้ก็มาทำวิบากกรรมให้เรา ได้รับความเดือนร้อน

อยู่ทุกๆ วัน แล้วเราจะจัดการกับ วิบากกรรมของเราได้อย่างไร แล้วจะปิดกั้นไม่

ถ่ายภาพ เก็บไว้ใหม่ได้อย่างไร

พระพุทธองค์ สอนให้เรา ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็น อกุศล ทั้งหลาย สร้างกุศลกรรม

เอาไว้มากๆ ทุกๆ อย่างเป็น ธรรม เป็นอนัตตา แต่เราก็ต้องจัดการทุกอย่าง ก่อนจุติจิต

เพื่อให้ กุศลวิบาก ติดตามจิต เราไปบ้าง กรุณา ช่วยบอกวิธีด้วย

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 17 พ.ค. 2556
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 22873 ความคิดเห็นที่ 9 โดย boonpoj

ลองมาคิดดูว่า ร่างกายของเรา เปรียบเหมือน กล้องถ่าย วีดีโอ ที่มี ๖ เลนส์ เลนส์ ธรรมดา ๑ คู่ เลนส์ พิเศษ ๕ คู่ (ทวารทั้ง๖) ทุกเลนส์ มีโปรแกรม พิเศษ รับสัญญานแล้ว ส่งไปให้ จิตใจเรา เก็บ ข้อมูลไว้ ตั้งแต่เราเกิดมา เก็บข้อมูลถ่าย วีดีโอ ไว้ กี่เรื่องแล้ว คงจะมี ทั้งเรื่อง รัก เรื่อง ชีวิต เรื่อง บู๊ เรื่องต่างๆ นับไม่ถ้วน รวมทั้ง อดีต ชาติ ของเราอีก
ไม่รู้ว่า เก็บเอาอะไรมาบ้าง บางคน เก็บไว้มากจนหัวแทบระเบิด หลงๆ ลืมๆ ไปก็มี ข้อมูลที่เราเก็บไว้ก็มาทำวิบากกรรมให้เราได้รับความเดือนร้อนอยู่ทุกๆ วัน แล้วเราจะจัดการกับ วิบากกรรมของเราได้อย่างไร แล้วจะปิดกั้นไม่ ถ่ายภาพ เก็บไว้ใหม่ได้อย่างไร พระพุทธองค์ สอนให้เรา ลด ละ เลิก สิ่งที่เป็น อกุศล ทั้งหลาย สร้าง กุศลกรรม เอาไว้มากๆ ทุกๆ อย่างเป็น ธรรม เป็นอนัตตา แต่เราก็ต้องจัดการทุกอย่าง ก่อน จุติจิต เพื่อให้ กุศลวิบาก ติดตามจิต เราไปบ้าง กรุณา ช่วยบอกวิธีด้วย

ขออนุโมทนาครับ

เราคงจะไปจัดการอะไรไม่ได้นะครับ

มีเพียงแต่ทำความเข้าใจพระธรรมมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ เท่านั้นจริงๆ

หากต้องการจะจัดการ ก็เป็นโลภะที่เข้ามาปิดกั้นความเข้าใจทันที

กลายเป็นเครื่องเนิ่นช้าเข้าไปอีก

คงต้องตั้งหลักให้ดีๆ ก่อนนะครับ ลองพิจารณากระทู้นี้ประกอบนะครับ

เริ่มต้นศึกษาพระธรรม

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
boonpoj
วันที่ 20 พ.ค. 2556

ที่ผมตั้งกระทู้ ขึ้นมานี้ ก็ต้องการ อยากให้ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยแบ่งปันสิ่งที่ดีๆ ที่เคยปฏิบัติมาแล้ว เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ที่อยากเรียนรู้ ธรรมมะและปฏิบัติ ได้ถูกต้อง เรียนหนังสือ ยังมี ชั้น อนุบาล ประถม มัถยม มหาวิทยาลัย พระธรรม คำสอนของพระพุทธองค์ เป็นของระเอียด ยากยิ่ง ยิ่งต้องมี ขั้นตอนมากมาย และขอขอบคุณ ความคิดเห็นที่ ๑๐ด้วย
พระพุทธศาสนา คือ พระธรรมคำสอนของพระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ขั้น
๑ ขั้นปริยัติ ศึกษาพระธรรมวินัย
๒ ขั้นปฏิบัติ เจริญธรรมเพื่อบรรลุธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์
๓ ขั้นปฏิเวธ รู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลสดับทุกข์
เรียนขั้น ปริยัติ แล้ว ต้องมี ปฏิบัติแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ สาขาใดๆ
ยกตัวอย่าง เช่น การเรียน เปียนโน หรือ กีร์ตาร์ หลังจากเรียน ทฤษฎีแล้ว ก็ต้องเรียน ปฏิบัติ เราถึงจะรู้ว่า การ วางมือบน เปียนโน วางมืออย่างไร หรือวางมือ บนคอร์ด กีร์ตาร์ได้อย่างไร ทำการเกษตร ก็เช่นเดียวกัน ปลูกต้นมะม่วง ก็ต้องเรียน วิธีการปลูก แล้วก็ต้องลงมือ ปลูกจริงๆ ซึ่งก็มีขั้นตอนมากมาย เราถึงจะได้ผล มะม่วง จริงไหมครับ ทุกอย่างที่พูดมานี้ ต้องมีความอดทน ใช้เวลารอคอย ตั้งใจ ปฏิบัติ อย่างจริงจัง
ให้ ฟังๆ ๆ ๆ อย่างเดียว ให้เข้าใจอย่างเดียว ผมว่า มันไม่พอนะครับ
ถ้าไม่มี ขั้นปฏิบัติ ก็ไม่มีการที่จะไปถึง ขั้นปฏิเวธ แน่นอน ครับ นี่ไม่ใช่เป็นการตั้งความหวังที่เป็น โลภะ แต่เป็นการ ปฏิบัติ ตามคำสอนของพระองค์ท่านเท่านั้น
เราเป็นชาวพุทธ ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ เป็นความคิดของผมเองไม่เกียวข้องกับผู้ใดทั้งสิ้น
ขอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ