ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๙๒

 
khampan.a
วันที่  26 พ.ค. 2556
หมายเลข  22958
อ่าน  1,487

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙๒]

- ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรม พระองค์จะตรัสว่า ให้ตั้งใจฟัง เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามเพียงคิดเรื่องอื่นนิดเดียว ก็ไม่เข้าใจแล้วในคำที่ได้ยิน ไม่รู้ด้วยว่าได้ยินได้ฟังอะไร จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดเอาเองไม่ได้

- ไม่มีใครบังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย

- ถ้าพูดผิด อันเนื่องมาจากคิดผิด เข้าใจผิดจากความเป็นจริงของธรรม ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นศัตรูของพระธรรม

- ธรรม เป็นธรรม จะเป็นใครไปไม่ได้เลย

- พระธรรม เตือนให้ไม่ประมาทที่จะเข้าใจความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ที่

- เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็เริ่มเห็นพระคุณที่พระองค์ทรงแสดงพระธรรมตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกให้เกิดปัญญาเป็นของตนเอง

- ควรที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในพระธรรม ฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ ในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

- ทุกคนที่ยังมีกิเลส ก็ยังต้องเกิดตาย อย่างมีกิเลส กับ ตายอย่างไม่มีกิเลส การตาย อย่างหลังนี้ มีได้ แต่ไกลแสนไกล

- ยุ่งแน่ๆ ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่

- ทำไมวาจาถึงไม่ดี ทำไมกายถึงไม่ดี? ก็เพราะคิดไม่ดี จึงทำให้วาจาไม่ดี กายก็ไม่ดี ไปตามความคิด

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโทษของอกุศลทุกอย่าง ไม่ควรเห็นอกุศลนิดๆ หน่อยๆ ว่า ไม่เป็นไร เพราะหารู้ไม่ว่า จากนิดๆ หน่อยๆ นี้แหละ ในที่สุดก็เป็นอกุศลที่เพิ่มมากขึ้นได้

- พระธรรมเท่านั้นที่จะเปลี่ยนจากผู้มากไปด้วยอกุศล เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นกุศลขึ้นในวันหนึ่งๆ กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้นเมื่อมีความเข้าใจ

- พระบารมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นไม่รู้ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ แต่เพื่อให้รู้ถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม

- ทุกครั้งที่ฟังธรรม สนทนาธรรม ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้

- ถ้าไม่ใช่การให้ความจริงที่เป็นสัจจธรรม นั่น ไม่ใช่ธรรมทาน

- คิดในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นประโยชน์ ในทางที่เป็นกุศล นั่นเป็นผลของการได้ฟังพระธรรม

- ถ้าในขณะนั้นไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา จิตก็จะต้องเป็นไปในอกุศล คือ โลภมูลจิตบ้าง โทสมูลจิตบ้าง โมหมูลจิตบ้าง เพราะมีเชื้ออยู่เต็ม

- ทันทีที่เห็นก็เป็นโลภมูลจิตแล้ว โทสมูลจิตแล้ว โมหมูลจิตแล้ว เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้โลภะ โทสะ โมหะเกิด โลภะ โทสะ โมหะก็เกิด

- เวลาที่มีความพอใจอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ก็อาจจะเกรงกลัวว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น ก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวไปได้

- ตัณหา เหมือนกับเพื่อนสนิท ทำให้มีความพอใจในสิ่งนั้น ทำให้มีความพอใจเพลิดเพลินไปอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ตัณหานี้ ก็มีความเป็นเพื่อน คือ ให้ทนอยู่ต่อไปได้ในวัฏฏะ

- อยู่คนเดียวแท้ๆ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ คิดไปพอใจไป นั่นใครมากระซิบ ลักษณะที่ให้เป็นอย่างนั้น ให้ความหวังอย่างนี้ ให้ทำอย่างโน้น ให้คิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ลักษณะของใครอื่น นอกจากนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะของโลภะหรือตัณหานั่นเอง

- ถ้าไม่เป็นกุศลแล้ว อกุศลก็ย่อมเกิดขึ้นไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ

- ทุกคนมีอัตภาพขณะนี้ คือ นามธรรมกับรูปธรรม ใช้ต่างกันแล้วแต่บุคคล คนพาลก็ใช้ไปในทางทุจริต แต่ถ้าเป็นบัณฑิตแล้ว จะไม่เป็นอย่างนั้น มีแต่จะใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น ในทางที่เป็นกุศล

- ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมวันนี้ ก็ย่อมจะไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีทางที่จะทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย

- พระธรรม ล้ำค่าทุกคำ แสดงถึงความละเอียดของธรรมว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

- ถ้ามีปัญญา แม้จะมีโลภะ ก็จะไม่ถึงขั้นที่กระทำทุจริตกรรม

- การฟังพระธรรมเข้าใจ เป็นกุศลกรรม

- ปัญญาทำให้รู้ว่าอะไร คือ หนทางที่ถูก อะไรคือหนทางที่ผิด อะไรควรประพฤติ อะไรไม่ควรประพฤติ

- อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้อยู่ที่รูป แต่อยู่ที่กิเลสของตนเองต่างหาก เพราะยึดมั่นในความเห็นผิด จึงทำให้ไม่กล้าหันมาสู่ความเห็นถูก.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๙๑ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๙๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- ท่านผู้ฟังทุกท่านก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติทันที หรือว่าอยากปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้ แต่ต้องแล้วแต่ว่า สติจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าขณะใดสติไม่เกิดคือ ขณะนั้น ไม่ระลึก มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ แต่สติไม่เกิด จึงไม่ระลึกที่ลักษณะของสภาพ ธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าในขณะนี้เอง ขณะที่สติเกิด ก็คือกำลังระลึกที่ลักษณะของ สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้น ก็จะเข้าใจถูกว่า สติ เกิดขึ้น ทำกิจของสติ คือระลึกลักษณะของสภาพธรรม นี่คือการอบรมเจริญปัญญา โดยสติ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่มีใครที่จะทำหรือจะปฏิบัติ

- เห็นคุณค่าของผู้มีจิตเป็นผ้าเช็ดธุลีไหม มีความอ่อนน้อมไม่มีมานะ ไม่มีความ สำคัญตน ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีได้เสมอๆ ก็เป็นความสบายใจ ไม่ว่าใครจะประพฤติ ต่อท่าน ด้วยกาย วาจา อย่างไร ไม่เดือดร้อนเลย เพราะว่าไม่มีถือตน ว่ามี ความสำคัญ

- ถ้าไม่มีขั้นฟัง มีอะไรที่จะคิดไหมคะ เรื่องทางตาที่กำลังเห็น เป็นนามธรรม อย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะต้องอาศัยการฟัง และมี การคิดพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่าจริงหรือเปล่า เมื่อใคร่ครวญไตร่ตรอง รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงก็เป็นปัจจัยให้ ภาวนามยปัญญาเกิดได้

- เพราะฉะนั้นที่ว่าจะปฏิบัติๆ ขอให้เข้าใจตามความเป็นจริงก่อนว่า เข้าใจ หรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจ จะปฏิบัติอะไรก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เพียงหวัง ลอยๆ ว่า ทำยังไง จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็จะเกิดปัญญา ที่รู้แจ้งอริยสัจจ - ธรรมได้

- ท่านที่ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ทุกข์ ยังไม่ตาย ก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตในขณะนี้สั้น และ เล็กน้อยมาก และเพียงชั่วขณะที่เห็นบ้างได้ยินบ้าง.....รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง แต่ละขณะซึ่งเกิด แล้วก็ดับ แล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย สภาพธรรม ใดซึ่งเกิด เพราะเหตุปัจจัย เมื่อดับแล้วก็ดับเลย แต่ละขณะ ท่านที่ยังไม่แก่ก็กำลัง เคลื่อนไป ก้าวไปสู่ ชรา ท่านที่ยังไม่เจ็บ ไม่มีพยาธิใดๆ กำลังเคลื่อนไปก้าวไป สู่พยาธิ ท่านที่ยังไม่มี โสก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส คือทุกข์ทั้งมวล ก็ควรจะรู้ว่า แต่ละขณะไม่ได้อยู่นิ่งเลย กำลังก้าวไปสู่แล้ว แต่ว่า โศกน้อยหรือ มาก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส น้อยหรือมาก แต่ทุกคนก็ไม่พ้นจาก ชรา พยาธิ และ มรณะ

- วันหนึ่งๆ บังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะคบคนที่จะทำให้กุศลวิตกเกิด ก็จะเป็น ประโยชน์กว่าการที่ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วก็ไปคบหาสมาคมกับคน ที่ทำให้อกุศลเกิดมากๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 27 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 27 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
bsomsuda
วันที่ 27 พ.ค. 2556

"อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้อยู่ที่รูป แต่อยู่ที่กิเลสของตนเองต่างหาก"

"วันหนึ่งๆ บังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะคบคนที่จะทำให้กุศลวิตกเกิด ก็จะเป็นประโยชน์กว่าการที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วก็ไปคบหาสมาคมกับคนที่ทำให้อกุศลเกิดมากๆ "

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.ผเดิม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 27 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 27 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 28 พ.ค. 2556

- พระบารมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นไม่รู้ ไม่ใช่ ให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ แต่เพื่อให้รู้ถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ทุกครั้งที่ฟังธรรมสนทนาธรรม ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้

- ถ้าไม่ใช่การให้ความจริงที่เป็นสัจจธรรม นั่น ไม่ใช่ธรรมทาน

- คิดในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นประโยชน์ ในทางที่เป็นกุศล นั่น เป็นผลของการได้ฟังพระธรรม

- ถ้าไม่มีขั้นฟัง มีอะไรที่จะคิดไหมคะ เรื่องทางตาที่กำลังเห็น เป็นนามธรรม อย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะต้องอาศัยการฟัง และมี การคิดพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังว่าจริงหรือเปล่า เมื่อใคร่ครวญไตร่ตรอง รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ก็เป็นปัจจัยให้ ภาวนามยปัญญาเกิดได้

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และอ.เผดิม อย่างยิ่งค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 28 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 28 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
natural
วันที่ 28 พ.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nong
วันที่ 29 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
rrebs10576
วันที่ 30 พ.ค. 2556

- ตัณหา เหมือนกับเพื่อนสนิท ทำให้มีความพอใจในสิ่งนั้น ทำให้มีความพอใจ เพลิดเพลินไปอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ตัณหานี้ ก็มีความเป็นเพื่อน คือ ให้ทน อยู่ต่อไปได้ในวัฏฏะ

- อยู่คนเดียวแท้ๆ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ คิดไปพอใจไป นั่นใครมา กระซิบ ลักษณะที่ให้เป็นอย่างนั้น ให้ความหวังอย่างนี้ ให้ทำอย่างโน้น ให้คิดอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ลักษณะของใครอื่น นอกจากนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเป็น ลักษณะของโลภะหรือตัณหานั่นเอง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Pailinsri
วันที่ 1 มิ.ย. 2556

กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความรู้

อนุโมทนา สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 26 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kullawat
วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 11 ก.พ. 2565

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Jarunee.A
วันที่ 10 มี.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ