ทวยตานุปัสสนาสูตร (ต่อ)... วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖

 
มศพ.
วันที่  2 มิ.ย. 2556
หมายเลข  22993
อ่าน  1,327

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...


มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

ทวยตานุปัสสนาสูตร

(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )

จาก...พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๖๖๖

(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๒๖ พ.ค. ๒๕๕๕)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๖๖๖

ทวยตานุปัสสนาสูตร

(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )

[๔๐๒] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็น

ธรรม ๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมี อย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะความหวั่นไหวทั้งหลายนั่นเองดับไป เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย เพราะความหวั่นไหวดับ ไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด

ภิกษุ รู้โทษนี้ว่า ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะความหวั่นไหว เป็นปัจจัย ดังนี้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุสละตัณหาแล้ว ดับสังขารทั้งหลายได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีความหวั่นไหว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.

[๔๐๓] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ความดิ้นรน ย่อมมีแก่ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว นี้ เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า ผู้ที่ตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะไม่อาศัยแล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน ส่วนผู้อันตัณหา ทิฏฐิ และมานะอาศัยแล้ว ถือมั่นอยู่ ย่อมไม่ล่วงพ้น สังสาระอันมีความเป็นอย่างนี้ และ ความเป็นอย่างอื่นไปได้ ภิกษุรู้โทษนี้ว่าเป็นภัยใหญ่ในเพราะนิสสัย คือ ตัณหา ทิฏฐิ และมานะทั้งหลายแล้วเป็นผู้อันตัณหาทิฏฐิและมานะไม่อาศัยแล้ว ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ.

[๔๐๔] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมี อย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า อรูปภพละเอียดว่ารูปภพ นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ นี้เป็นข้อ ๒ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

สัตว์เหล่าใด ผู้เข้าถึงรูปภพ และสัตว์

เหล่าใดอยู่ในอรูปภพ สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่

รู้ชัดซึ่งนิพพาน ก็ยังเป็นผู้จะต้องมาสู่ภพใหม่

ส่วนชนเหล่าใด กำหนดรู้รูปภพแล้ว ไม่ดำรง

อยู่ในอรูปภพ ชนเหล่านั้น น้อมไปในนิพ-

พานทีเดียว เป็นผู้ละมัจจุเสียได้.

[๔๐๕] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม พึงตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมี อย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า นามรูปที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นามรูปนี้เป็นของจริง พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นามรูปนั้น เป็นของเท็จ นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นิพพานที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นิพพานนี้เป็นของเท็จ พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานนั้น เป็นของจริง นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ท่านผู้มีความสำคัญในนามรูป อัน

เป็นของมิใช่ตนว่าเป็นตน จงดูโลกพร้อมทั้ง

เทวโลก ผู้ยึดมั่นแล้วในนามรูป ซึ่งสำคัญ

นามรูปนี้ว่า เป็นของจริง

ก็ชนทั้งหลายย่อมสำคัญ (นามรูป)

ด้วยอาการใดๆ นามรูปนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่น

ไปจากอาการที่เขาสำคัญนั้น นามรูปของผู้

นั้นแล เป็นของเท็จ เพราะนามรูปมีความ

สูญสิ้นไปเป็นธรรมดา

นิพพาน มีความไม่สูญสิ้นไปเป็น

ธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายรู้นิพพานนั้น

โดยความเป็นจริง พระอริยเจ้าเหล่านั้นแล

เป็นผู้หายหิวดับรอบแล้ว เพราะตรัสรู้

ของจริง

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากอรรถกถาได้ที่นี่

อรรถกถา ทวยตานุปัสสนาสูตร [ขุททกนิกาย สุตตนิบาต]

...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่าน...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

ทวยตานุปัสสนาสูตร

(ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนืองๆ )

เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่บุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยที่พระองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ถ้ามีผู้มาถามว่าจะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ ป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู ก็ควรตอบว่า เพื่อรู้ธรรม ๒ อย่าง เมื่อถูกถามอีกว่า ธรรม ๒ อย่างคืออะไร ก็ควรที่จะได้ตอบว่าธรรม ๒ อย่าง ได้แก่ การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง (โดยการสนทนาที่มูลนิธิฯ ครั้งนี้ นำมาศึกษาต่อจากคู่ที่ ๑๑) ดังนี้ คือ

คู่ที่ ๑๒ -ทุกข์เกิดเพราะความหวั่นไหวเป็นปัจจัย

-เพราะความหวั่นไหวดับไป ทุกข์จึงไม่เกิด

คู่ที่ ๑๓ -ความดิ้นรนย่อมมีแก่ผู้มีตัณหา ทิฏฐิ และมานะ

-ผู้ละตัณหา ทิฏฐิและ มานะได้แล้ว ย่อมไม่ดิ้นรน

คู่ที่ ๑๔ -อรูปภพละเอียดกว่ารูปภพ

-นิโรธละเอียดกว่าอรูปภพ

คู่ที่ ๑๕ -ชาวโลกเห็นว่า นามรูป เป็นของจริง แต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย

ผู้เห็นชอบด้วยปัญญา เห็นว่า นามรูป เป็นของเท็จ

-ชาวโลกเห็นว่า พระนิพพาน เป็นของเท็จ แต่พระอริยเจ้า

ทั้งหลาย ผู้เห็นชอบด้วยปัญญา เห็นว่า พระนิพพาน เป็นของ

จริง

[ตามข้อความในพระสูตร]

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ

สังสารวัฏฏ์...ขณะนี้หรือเปล่า

กิเลสตัณหา

ตัณหา คือ อุปาทาน ใช่หรือไม่

สังโยชน์

ภพในปัจจยาการ คือ อะไร?

ทิฏฐิ กับ มานะ

สังสารวัฏฏ์และความจริง [ปฐมตถาคตสูตร]

ผู้นำพาสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏ์

นาม รูป เท็จหรือไม่เท็จ จริงหรือไม่จริง?

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

กราบอนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 3 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tusaneenui
วันที่ 3 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ING
วันที่ 4 มิ.ย. 2556

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 8 มิ.ย. 2556

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 8 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ