ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๑

 
khampan.a
วันที่  28 ก.ค. 2556
หมายเลข  23255
อ่าน  1,781

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๑]

[1] ถ้าเป็นการส่งเสริมสนับสนุนความเข้าใจถูกในธรรมแล้วล่ะก็ ผู้บรรยายธรรมก็จะต้องพยายามยกเหตุผลตามพระธรรมวินัย ให้ผู้ฟังซึ่งยังเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนนั้นพิจารณาเทียบเคียงจนกระทั่งมีความเห็นถูก ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมให้ตรงตามความจริง นี่คือการเกื้อกูลส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูกต้องในธรรมวินัย

[2] การส่งเสริมสนับสนุนพุทธบริษัท ก็ควรที่จะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าใจชัดเจนถูกต้องในการประพฤติปฏิบัติ ให้รู้ธรรมตามความเป็นจริงด้วย

[3] ไม่ทราบเลยว่ากรรมใดจะทำให้ท่านปฏิสนธิที่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าท่านพิจารณาธรรมจะเห็นว่าเป็นการเตือนให้ท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ทำที่พึ่งให้แก่ตน ด้วยการรีบขวนขวายในสิ่งที่ดีและอบรมเจริญปัญญา

[4] อกุศลทั้งหมด โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นมลทิน (เครื่องเศร้าหมอง) ทั้งนั้น แต่อยู่กับตัวเองจนไม่รู้สึกว่าเป็นมลทิน

[5] การขัดเกลากิเลสนี้ ขัดเกลาทีเดียวหมดได้ไหม? ไม่ได้แน่นอน ต้องค่อยๆ ขัดค่อยๆ เกลาจริงๆ ถ้าไม่ใช่ด้วยสติกับปัญญาที่รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรจะขจัดอวิชชาออกไปได้เลย

[6] เป็นได้ง่ายไหมบัณฑิต? ถ้าเข้าใจข้อปฏิบัติผิดและกำลังปฏิบัติผิดอยู่ ก็เป็นบัณฑิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นบัณฑิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ จึงต้องเป็นผู้ฟังเป็นผู้ที่เข้าใจถูกปฏิบัติถูกตรงตามพระธรรมอย่างแท้จริง

[7] พระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา และเป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ การประพฤติปฏิบัติก็ต้องตรงต่อธรรมวินัย ผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า ต้องเป็นอุชุปฏิปันโน (ผู้ปฏิบัติตรง) ถ้าคดโค้ง หรือว่าคดโกง ไม่ตรงต่อธรรม ทั้งในความเข้าใจ ทั้งในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยสาวกได้

[8] ในครั้งพุทธกาล ที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน บางท่าน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพียงเล็กน้อย แต่ผู้ฟังก็สามารถจะพิจารณาได้ ว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงนั้น สมบูรณ์ทั้งเหตุและผล เป็นข้อที่ควรประพฤติปฏิบัติตามเพียงพระธรรมเทสนาสั้นๆ แต่ถ้าในสมัยนี้ ท่านผู้ฟังยังไม่ให้เหตุกับผลตรงกัน หรือว่าไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม พระธรรมวินัยก็ไม่สามารถที่จะเกื้อกูลได้เลย

[9] ทุกท่านที่เกิดมาในโลกนี้ ก่อนจะเกิดก็ไม่ทราบว่าจะพบอะไรบ้าง จะกระทำกรรมอะไรบ้าง และกรรมที่ได้กระทำแล้วนี้ จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในวันใด ในที่ใด หลังจากจุติจากโลกนี้แล้ว ท่านก็ไม่ทราบ

[10] เรื่องของการที่จะมีชีวิตเป็นไป นั้น เป็นเรื่องที่ควรจะได้ทราบเหตุและผล แล้วก็สะสมความรู้ในสภาพของชีวิตให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อละความไม่รู้ ที่ทำให้ทำกรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลกรรมแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างสาหัสทีเดียว

[11] ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) โลภะยังมีโทสะยังมี โมหะยังมี ความริษยายังมี อกุศลธรรมอื่นยังมี วันหนึ่งจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านกระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่จะทำให้ไปสู่นรกขุมต่างๆ แล้วก็ได้รับความทุกข์ทรมาน ได้

[12] แม้จะเป็นผู้มีทรัพย์ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ แต่ยังไม่หมดกิเลส ยังไม่ได้ขัดเกลาละอกุศลให้เบาบาง ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เลยว่ากิเลสนั้นจะมีกำลังกล้าที่จะทำให้ท่านปฏิบัติคลาดเคลื่อนผิดไปในทางอกุศลกรรมหนักๆ อย่างไรบ้าง ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ

[13] เพราะสติเกิดขึ้น จึงทำให้มีการวิรัติ มีการงดเว้นจากสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศล

[14] สัญญา จำหลากหลายตามจิต จิตรู้อารมณ์อะไร สัญญาก็จำในอารมณ์นั้น เพราะสัญญานี้แหละ จึงมีการคิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย

[15] ฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

[16] พระธรรม คอยย้ำเตือนบ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ทำให้เริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม

[17] เกิดมาแล้ว ต้องไปแน่ๆ ต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าอีกนาน เพราะอาจจะไม่นานเลย อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ซึ่งจะเป็นผู้ประมาท ไม่ได้เลยทีเดียว

[18] เพราะมีอวิชชา พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

[19] ถ้าไม่ศึกษาเรื่องของจิต (ตลอดจนถึงธรรมอื่นๆ) แล้วจะเป็นอย่างไร? คำตอบ คือ ไม่ดี เพราะไม่ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก มีแต่ความไม่รู้ ความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นอกุศล จะดีได้อย่างไร

[20] ที่เป็นคนดี และ เป็นคนไม่ดี ก็เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นก็เป็นคนดี แต่ถ้าธรรมฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้น ก็เป็นคนไม่ดี มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ

[21] บุคคลที่สะสมมาดี ก็จะเป็นคนดี มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีเมตตา ไม่มักโกรธ ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม ถ้าสะสมมาไม่ดี ก็จะเป็นคนมักโกรธ ริษยา ตลอดจนมีความไม่ดีประการต่างๆ อีกมากมาย

[22] ดีร้าย คล้อยไปตามจิตจริงๆ ถ้าอกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับจิต จิตนั้นก็เป็นจิตไม่ดี เป็นอกุศลจิต ทำให้กาย วาจา ไหวไปในทางที่ไม่ดี ถ้ามีโสภณเจตสิก เกิดร่วมกับจิต ก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต ทำให้กาย วาจา เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร

[23] พระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ทำให้รู้ความจริง ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาให้ได้ศึกษายิ่งขึ้น

[24] ถ้าเป็นธรรมแล้ว จะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ได้

[25] ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

[26] เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะทำให้ละคลายความติดข้อง ละคลายความไม่รู้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

[27] เมื่อมีบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงดับกิเลสจนหมดสิ้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรฟังคำของพระองค์ ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

(ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๑๐๐ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๐


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ

[1] พึงอนุโมทนาบุญกับสัตว์ทั้งปวง อดทนถ้อยคำด้วยจิตเมตตา หวังประโยชน์กับบุคลอื่นโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร ไม่กล่าวร้าย อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ เป็นผู้ไม่โกรธง่าย เมื่อโกรธแล้วบรรเทาโดยเร็ว ไม่ผูกโกรธ ยินดีในความสามัคคี ไม่กล่าวส่อเสียด ว่าง่ายในพระธรรม มิใช่ว่าง่ายเพราะลาภ สักการะ ให้อภัยในผู้ที่มีคุณและไม่มีคุณ

[2] เมื่อเขากล่าวติเตียนตนเอง ควรมีจิตเมตตา ไม่โกรธ อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ เห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วแสดงโทษนั้น มักน้อยและสันโดษ โดยประการทั้งปวง ติบุคคลที่ควรติด้วยเมตตา สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ เพราะเคารพกุศลธรรม ปรารภความเพียร เพื่อประโยชน์กับสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือก แนะนำให้ออกจากอกุศล ให้เจริญกุศล คิดถึงความสุขของตนเองน้อยกว่าความสุขของผู้อื่น วางเฉยในความผิดของสัตว์ทั้งหลาย แต่ไม่วางเฉยในประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย ยอมไม่เป็นที่รัก แต่ทำให้ผู้อื่นออกจากกอกุศลและเจริญกุศล กตัญญูในสิ่งที่มีคุณ กระทำตอบแทนด้วยไม่หวังผล แม้สิ่งใด เจริญกุศลทุกประการ และไม่เลือกว่าบุคคลใด กล่าวคำจริง ประกอบด้วยประโยชน์และถูกกาล เห็นโทษของอกุศล ละคลายอกุศล ด้วยการฟังพระธรรม ให้ทานไม่จำกัดว่าใคร แต่เลือกให้ในสิ่งที่เหมาะสม เป็นผู้ยินดีในพระสัทธรรม ไม่กล่าวกระทบบุคคลใด มุ่งประโยชน์ด้วยเมตตา กล่าวถ้อยคำอ่อนหวานเพราะเป็นกุศล นึกถึงคนฟัง ไม่ใช่เพื่อประจบ มีตนเสมอในบุคคลอื่น ไม่แบ่งว่าเป็นพวกใคร บุคคลใดระลึกถึงพระคุณ ตอบแทนพระคุณเท่าที่จะทำได้ ให้อภัยในที่ทั้งปวง

[3] สติปัฎฐานจะไม่มีทางเกิดได้ ถ้าหากเราอยากให้สติปัฎฐานเกิด เพราะความอยากนั้นเป็นอกุศล เป็นเครื่องกั้นสติซึ่งเป็นกุศล สติจะเกิดขึ้นเอง จากการเข้าใจ ในการฟังเรื่องราวของอภิธรรมก่อน เมื่อความเข้าใจเจริญถึงพร้อม จะเริ่มสังเกตความแตกต่างระหว่าง การหลงลืมสติกับการมีสติ ความเข้าใจเมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น สังขารขันธ์จะปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย

[4] "ผู้ประมาท" นอกจากจะมืดตื้อแล้ว ยังถูกใส่ไว้ในกรงกิเลส ถูกนำเข้าไปในฝักของอวิชชาถูกอวิชชาหุ้มห่อ ดุจสัตว์ที่เกิดในฟองไข่ นอกจากนั้นสภาพที่ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้นั้น ยังยุ่งดุจเส้นด้ายของนายช่างหูกที่เก็บไว้ไม่ดี ถูกหนูกัด ย่อมยุ่งเหยิง ในที่นั้นๆ เหมือนผู้ที่มากไปด้วยความเห็นผิด คิดผิด ประพฤติ ปฏิบัติผิด เหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง ซ้ำนายช่างหูก ยังเอาไปคลุกน้ำข้าว ขยำ ทำให้ติดกันเป็นปม สัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ไม่อาจรู้เหตุและผลของสภาพธรรมทั้งหลาย เป็นผู้พลาดพลั้ง ยุ่งยาก วุ่นวายในปัจจัยคือ นามธรรม และ รูปธรรม สัตว์อื่นนอกจากพระโพธิสัตว์แล้ว ที่จะสามารถจะประพฤติเหตุปัจจัย ให้ตรงต่อการพ้นจากสังสารวัฏฏ์ โดยธรรมดาของตน ย่อมไม่มี

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 28 ก.ค. 2556

ได้อ่านด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่นและคุณเผดิมด้วยครับ

เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 28 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาผู้ให้ธรรม และ ทุกท่านที่ได้รับประโยชน์เช่นกัน ครับ

ธรรมยิ่งเผยแพร่ ยิ่งรุ่งเรืองในจิตใจของผู้เข้าใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 29 ก.ค. 2556

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วยค่ะ

- ปัญญาต้องรู้ทุกอย่างว่าเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นละไม่ได้เลย

- สภาพจำก็ไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมที่จำ แม้ขณะนี้ที่เห็นดอกไม้ ก็จำแล้ว ไม่ใช่เราเลย ถ้าไม่จำ ขณะนั้นก็คิดว่าเป็นดอกไม้ไม่ได้ เพราะขณะนี้ที่เห็นเป็นดอกไม้ เพราะมีสัญญาที่เคยจำว่าเป็นดอกไม้ จำมีจริงๆ ถ้าไม่รู้จักสัญญาก็จะละอะไรไม่ได้

- ไม่ใช่จำชื่อ แต่เมื่อคิดถึงชื่อนั้น เคยมีไหม?

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิมด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 29 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 29 ก.ค. 2556

เมื่อมีบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงดับกิเลสจนหมดสิ้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรฟังคำของพระองค์ ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง.

ขออนุโมทนาผู้ให้ธรรม และ ธรรมยิ่งเผยแพร่ ยิ่งรุ่งเรือง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 29 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
papon
วันที่ 30 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
bsomsuda
วันที่ 30 ก.ค. 2556

ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 30 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natural
วันที่ 30 ก.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Parinya
วันที่ 31 ก.ค. 2556

ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
aurasa
วันที่ 31 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
wittawat
วันที่ 1 ส.ค. 2556

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ

ฟังธรรมก็เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
orawan.c
วันที่ 1 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
ขอนอบน้อม
วันที่ 16 ก.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 19 ส.ค. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ