กุกกุฏมิตร ที่มีธิดาเศรษฐี กับ นายพราน

 
tanaprasith
วันที่  11 ส.ค. 2556
หมายเลข  23345
อ่าน  3,831

มีผู้บรรลุมรรคผลเบื้องต้นในเพศฆราวาสขณะที่เป็นโสดแล้วต่อมาใช้ชีวิตครองคู่บ้างไหมครับ?

กุกกุฏมิตร ที่มีธิดาเศรษฐี บรรลุเป็นพระโสดาบัน และ มี เหตุคือ ได้พบนายพราน ที่เคยรักกันมาในอดีตชาติ หลงรักอย่างมาก จึง หนีตามไป แต่งงานด้วยกัน


สงสัยจากกระทู้ก่อนครับ

ถ้าหากธิดาท่านบรรลุมรรคผลเป็นโสดาบันแล้ว การหนีตามนายพรานมาจนถึงกระทั่ง การมีบุตรด้วยกันไม่ผิดศีลข้อ 3 หรือครับ ตั้งข้อสังเกตตรงที่ การหนีตามกันมา ทำให้ สันนิษฐานได้ว่า อาจจะไม่ได้ขอสู่ความเป็นเจ้าของจากบิดา มารดาอย่างชอบธรรม นานมาแล้วผมเคยได้ยินหนึ่งที่มีใครสักคนหยิบยกมาสอนผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ บาป บางอย่างถ้าไม่เจตนาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (เคยอ่านเจอมานานแล้วไม่แน่ใจว่าใน หนังสือหรือว่าเวบบอร์ด ขออภัยที่ไม่สามารถอ้างอิงที่มาได้ครับ พูดจากความทรงจำ ล้วนๆ ) ท่านผู้ตอบคำถามยกตัวอย่างว่า การที่ผู้เป็นภรรยาตระเตรียมเหยื่อเพื่อให้นาย พรานไปฆ่าสัตว์ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเคส กุกกุฏมิตร ที่มีธิดาเศรษฐี กับ นายพราน ถ้าผมเข้าใจถูกว่าใช่ ก็สงสัยไม่ได้ว่า ถึงแม้ว่าธิดาท่านจะไม่ยินดีในสิ่งที่พรานต้องทำ เพราะว่าเป็นหน้าที่ แล้วแบบนี้ไม่ขัดต่อความรู้สึก/คุณธรรม/มโนสำนึกของผู้เป็น อริยบุคคลเบื้องต้นที่ผมเดาว่า ไม่สนับสนุน ไม่ควรยินดีในบาปของผู้อื่นไม่ใช่หรือครับ?

สงสัยต่อไปถึงขนาดว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่า คู่ครองที่เหมาะสม ควรเหมาะสม กัน 4 ประการคือ ศีล จาคะ ศรัทธา และปัญญา กรณีผู้ถามนี้รู้สึกในฐานะปุถุชนธรรมดา และ รู้ในพระไตรปิฎกว่า เหมือนศีลจะไม่เสมอกันอย่างไรไม่รู้ครับ สุดท้ายอยากทราบว่าพระไตรปิฎก พูดถึงธิดากับพรานในตอนจบว่าอย่างไรบ้างครับ พูดถึงว่าธิดาได้มรรคผลขั้นที่สูงขึ้นไหม/นายพรานบรรลุมรรคผลอะไรไหมหรือว่า เปลี่ยนอาชีพ หรือว่านายพราน/ทั้งคู่มีอกุศลวิบากอะไรที่มาเจอในภายหลัง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปัญหาข้อแรก

ถ้าหากธิดาท่านบรรลุมรรคผลเป็นโสดาบันแล้ว การหนีตามนายพรานมาจนถึงกระทั่ง การมีบุตรด้วยกันไม่ผิดศีลข้อ 3 หรือครับ ตั้งข้อสังเกตตรงที่ การหนีตามกันมา ทำให้ สันนิษฐานได้ว่า อาจจะไม่ได้ขอสู่ความเป็นเจ้าของจากบิดา มารดาอย่างชอบธรรม

- ฝ่ายหญิงไม่ผิดศีลข้อ3 เพราะ ตนเองเป็นเจ้าของผัสสะ และ ไม่ได้มีสามี แต่เป็น โสด กรณีนี้ ผู้หญิง จึงไม่ผิดศีลข้อ สาม แต่ ฝ่ายชาย ผิดศีลข้อ สาม เพราะ ไม่ได้ขอ อนุญาตจากผู้ปกครองของฝ่ายหญิง ครับ


คำถามที่ว่า

การที่ผู้เป็นภรรยาตระเตรียมเหยื่อเพื่อให้นายพรานไปฆ่าสัตว์ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็น เคส กุกกุฏมิตร ที่มีธิดาเศรษฐี กับ นายพรานถ้าผมเข้าใจถูกว่าใช่ ก็สงสัยไม่ได้ว่า ถึง แม้ว่าธิดาท่านจะไม่ยินดีในสิ่งที่พรานต้องทำเพราะว่าเป็นหน้าที่ แล้วแบบนี้ไม่ขัดต่อ ความรู้สึก/คุณธรรม/มโนสำนึกของผู้เป็นอริยบุคคลเบื้องต้นที่ผมเดาว่า ไม่สนับสนุน ไม่ควรยินดีในบาปของผู้อื่นไม่ใช่หรือครับ?

เมื่อพูดถึงประเด็นปาณาติบาตแล้ว คือ จะต้องมีเจตนาฆ่า และมีความพยายามที่จะ ฆ่า และสัตว์นั้นตายเพราะพยายามนั้นครับ ดังนั้น จะเป็นปาณาติบาต ก็ต้องมีเจตนาฆ่า สัตว์นั้นเป็นสำคัญ ซึ่งสำหรับเรื่องที่ผู้ถามได้ยกมานั้น พระภิกษุทั้งหลายสงสัยว่านาง เป็นพระโสดาบัน แต่ยังทำบาป คือ ปาณาติบาตอยู่หรือ ซึ่งในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรง ตรัสว่า พระโสดาบันย่อมไม่ทำบาป แม้แต่เพียงคิดแม้จะฆ่า ไม่ต้องกล่าวถึงการทำ ปาณาติบาต เพียงแต่ว่า นางทำตามคำสั่งของสามีที่ให้หยิบอาวุธให้ แต่นางไมได้มี เจตนาฆ่าสัตว์แม้ด้วยใจเลยครับ ภรรยาของนายพราน จึงทำตามคำสั่งสามี และไม่มี เจตนาฆ่า และไม่มีแม้จิตที่ส่งเสริมให้สามีฆ่า ส่งเสริม และแม้ยินดีในการฆ่าก็ไม่มี สำหรับพระโสดาบันครับ

ดังนั้นการกระทำอย่างเดียวกัน คือ หยิบอาวุธให้ของแต่ละคน แต่จิตต่างๆ กันไป ได้ครับ ดังพระคาถาที่ตรัสไว้ว่า

ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยา พิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่า มือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ฉันนั้น." ถ้าแผลไม่มีอยู่ แม้จะหยิบยาพิษ หยิบสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่มีแผล พิษก็ไม่ทำร้ายร่าง- กายคนนั้น เพราะพิษไม่ซึมเข้าร่างกาย เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่มีเจตนาทำบาป แม้กระทำ การส่งอาวุธ แต่ไมได้มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ชื่อว่าทำบาปครับ บาปย่อมไม่มีกับผู้ไม่มีเจตนา ทำบาป


คำถามที่ว่า

สงสัยต่อไปถึงขนาดว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่า คู่ครองที่เหมาะสม ควรเหมาะสม กัน 4 ประการคือ ศีล จาคะ ศรัทธา และปัญญา กรณีผู้ถามนี้รู้สึกในฐานะปุถุชนธรรมดา และ รู้ในพระไตรปิฎกว่า เหมือนศีลจะไม่เสมอกันอย่างไรไม่รู้ครับ

ความเป็นคู่ครองกัน สัตว์โลกก็เคยเกิดมาเป็นคู่ครองกันหมดแล้ว ซึ่ง ไม่มีความ แน่นอนเลยที่จะได้คู่ครองแบบใด ก็ตามแต่กรรมของแต่ละบุคคลจะจัดสรร ซึ่งหากทำ เหตุร่วมกัน คือ กุศลกรรมใด กรรมหนึ่งให้ผลก็ทำให้อยู่ร่วมกัน แม้จะมีคุณธรรมไม่เท่า กัน ก็สามารถเกิดเป็นคู่ครองกันได้ สัตว์โลกทั้งหมด จึงเคยเกิดกันมาเป็นญาติ เกิดกัน มาทุกฐานะแล้ว ครับ

หากแต่ว่า ในพระไตรปิฎกแสดงว่า ผู้ที่จะเกิดมาเป็นสามี ภรรยา ด้วยกันในชาติหน้า อีก จากชาตินี้ก็เป็น สามี ภรรยากัน ก็ด้วยการมีคุณธรรมเสมอกันในชาตินี้ ครับ


คำถามที่ว่า

สุดท้ายอยากทราบว่าพระไตรปิฎก พูดถึงธิดากับพรานในตอนจบว่าอย่างไรบ้างครับ พูดถึงว่าธิดาได้มรรคผลขั้นที่สูงขึ้นไหม/นายพรานบรรลุมรรคผลอะไรไหมหรือว่า เปลี่ยนอาชีพ หรือว่านายพราน/ทั้งคู่มีอกุศลวิบากอะไรที่มาเจอในภายหลัง

- นายพราน และ ลูกของท่าน อีก 7 คน สุดท้ายก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันหมด ทั้งครอบครัว โดยการอนุเคราะห์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ แสดงธรรม ให้บุคคลเหล่านั้นฟัง และ ก็บรรลุธรรม ส่วน ภรรยาที่เป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ แสดงเพิ่มเติมว่า ได้บรรลุธรรมเพิ่มขึ้นเป็นพระอริยบุคคลสูงขึ้น ครับ ส่วน การมาได้ เจอกัน ก็เพราะ ทำบุญร่วมกันมา และ มีความรักต่อกัน ทำบุญร่วมกัน และ มาเจอกัน และ ผลบุญที่บูชาพระเจดีย์พระพุทธเจ้า ทั้งครอบครัว ที่สละชีวิตของครอบครัว บูชาพระเจดีย์ ทำให้ถึงการบรรลุธรรมทั้งครอบครัวและได้เจอกัน อีกในชาตินี้ ครับ จึงเป็นผลของกุศลกรรมเป็นสำคัญ

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 11 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอริยบุคคล [บุคคลผู้ประเสริฐ, ผู้ห่างไกลจากกิเลส ตามลำดับมรรค สูงสุด คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง] ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปท่านมีปัญญาประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ตามความเป็นจริง ละกิเลสอันเป็นเหตุของการล่วงศีลได้แล้ว ท่านจึงไม่มีการล่วงศีลอีก ซึ่งจะแตกต่างจากปุถุชนอย่างสิ้นเชิง เพราะปุถุชน เป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถล่วงศีลข้อต่างๆ ได้ตามกำลังของกิเลส ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียว

อันดับแรก ควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่หนึ่ง ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด [เพราะยังไม่ใช่พระอรหันต์] พระโสดาบันดับ ความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับ ความริษยา พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ครบถ้วนไม่ล่วงศีล ๕ เลยพร้อมทั้ง เป็นผู้มีศรัทธาอย่างมั่นคงในพระรัตนตรัย พระโสดาบันดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็น เหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป

เมื่อมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นแล้วว่า พระโสดาบัน ไม่ล่วงศีล ๕ พอได้อ่านเนื้อเรื่องของภรรยานายพรานกุกกุฏมิตร ก็พอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วท่านไม่ล่วงศีล ๕ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น แต่ท่านเป็นภรรยาของนายพราน ท่านก็จะต้องทำกิจหน้าที่ของภรรยา ด้วยการส่งอาวุธให้นายพรานผู้เป็นสามีตามคำบอกของสามี แต่ไม่มีเจตนาว่าขอให้สามีเอาอาวุธเหล่านี้ไปฆ่าสัตว์ และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า นายพรานผู้เป็นสามี ตอนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ฆ่าสัตว์แต่เพราะได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ไม่ฆ่าสัตว์อีกเลย

จะเห็นได้ว่าแม้ในครั้งนั้น พระภิกษุทั้งหลาย ท่านก็สงสัยเหมือนกันในกรณีที่ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตรส่งอาวุธให้สามี ว่าจะเป็นการกระทำปาณาติบาตหรือไม่? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งผลจากการแสดงพระธรรมในครั้งนี้ มีผู้ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล มากมายซึ่งก่อนหน้านั้น นายพรานกุกกุฏมิตร พร้อมด้วยบุตร ๗ คน ลูกสะใภ้อีก ๗ คน รวมเป็น ๑๕ คน ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้ว การเป็นพระโสดาบัน เป็นได้ด้วยปัญญา จะขาดปัญญา ไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุคือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตรนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และเพราะได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมานั้น ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ครับ.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร [คาถาธรรมบท]

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 11 ส.ค. 2556

ทำตามหน้าที่ ไม่บาป เพราะไม่มีเจตนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 12 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Witt
วันที่ 4 ส.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ