จักขุวิญญาน 2 ดวง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่สั้นแสนสั้น มีอายุเพียงแค่ขณะที่เกิดขึ้นขณะที่ตั้งอยู่และขณะที่ดับไปเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเฉพาะจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอีกประเภทที่เกิดร่วมกับจิตนั้นด้วย เมื่อเกิดร่วมกับจิต ก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ดับพร้อมกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย สภาพธรรมที่กล่าวนั้นคือ เจตสิก จิตและเจตสิก ไม่ได้สถิตย์อยู่ที่ไหน เพราะเกิดแล้วดับแล้ว และในขณะที่เกิดนั้นก็จะต้องมีที่อาศัยเกิดของจิตและเจตสิกด้วย ที่เกิดของจิตและเจตสิก เรียกว่า วัตถุรูป ไม่ได้มีเฉพาะหทยวัตถุเท่านั้น ที่เป็นที่เกิดของจิต ยังมีอีก ๕ วัตถุรูป อันเป็นที่เกิดของจิตและเจตสิก ได้แก่ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) โสตวัตถุ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ฆานวัตถุเป็นที่เกิดของฆานวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) ชิวหาวัตถุ เป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) และกายวัตถุ เป็นที่เกิดของกายวิญญาณ (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) จิตที่เหลือทั้งหมดนอกจากที่กล่าวมาแล้ว เกิดที่หทยวัตถุทั้งหมด จิตและเจตสิกจะเกิดที่อื่นไม่ได้ นอกจากเกิดที่วัตถุรูป ๖ รูป ตามสมควรแก่จิตประเภทนั้นๆ [ถ้าเป็นในอรูปพรหมภูมิไม่มีรูปธรรม มีเฉพาะนามธรรม จิตและเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น] ซึ่งจักขุวิญญาณ จกฺขุ (ตา) +วิญฺญาณ (สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ จิต) สภาพรู้แจ้งอารมณ์ทางตา หมายถึง อเหตุกวิบากจิต ๒ ดวง ซึ่งเกิดที่จักขุวัตถุ (จักขุปสาท) ทำทัสสนกิจคือ รับรู้รูปารมณ์ที่กระทบทางตา เป็นกุศลวิบาก ๑ ดวงรับรู้สีที่ดี เป็นอกุศลวิบาก ๑ ดวง รับรู้สีที่ไม่ดี จักขุวิญญาณเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนาทั้ง ๒ ดวง
ดังนั้น จักขุปสาทรูป จึงเป็นจักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของ จิตเห็น คือ จักขุวิญญาณ 2 ดวง คือ จักขุวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑)
ซึ่งจิตเห็น คือ จักขุวิญญาณจะเกิดได้ หากไม่มีตา ที่เป็น จักขุปสาทรูป ก็ไม่สามารถเกิดได้ เพราะไม่มีที่เกิด จักขุวิญญาณ จึงอาศัยตาที่เป็นจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิด ที่ใดเป็นที่เกิด เราเรียกว่า วัตถุรูป มีจักขุวัตถุ เป็นต้น ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
จักขุวัตถุ//โสตวัตถุ//ฆานวัตถุ//ชิวหาวัตถุ//กายวัตถุ //วัตถุ ๖
หทยรูปเป็นรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นการกล่าวถึง สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะไม่มีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้เลย
ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตทุกขณะ ทุกประเภทจะต้องเกิดที่รูปที่เป็นวัตถุรูป รูปหนึ่งรูปใด ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ จิตเห็นก็เช่นเดียวกัน ต้องมีที่เกิดคือ มีจักขุวัตถุเป็นที่เกิด ที่จิตเห็นมี ๒ ดวง (แต่ไม่เกิดพร้อมกัน เพราะจิตเกิดที่ละขณะ จะไม่มี ไม่เกิดพร้อมกัน ๒-๓ ขณะ) นั้น ก็เพราะกรรมมี ๒ ประเภท คือ อกุศลกรรม และกุศลกรรม จึงทำให้ผลเกิดขึ้นแตกต่างกัน กล่าวคือ อกุศลกรรม ทำให้จิตเห็นที่เป็นอกุศลวิบากเกิดขึ้น และกุศลกรรม ทำให้จิตเห็นที่เป็นกุศลวิบากเกิดขึ้น ทั้งหมดนั้น เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บังคับให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...