ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๔]
[1] สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้แหละ ที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ เพราะเป็นสภาพธรรม ที่เกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไรที่เกิดมาแล้วจะไม่ทุกข์ เนื่องจากว่าเกิดแล้วก็จะต้อง มีความดับไปเป็นธรรมดา
[2] ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมในแต่ละคำให้เข้าใจถูกจริงๆ ตรง ชัดเจน
[3] ธรรมเกิดแล้วดับไป แล้วเราจะอยู่ที่ไหน ไม่มีเราเลย มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรม แม้จะไม่เรียกชื่อ ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ฟังในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง กรรม มีทั้งดี และ ไม่ดี ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดีแล้ว จะทำให้เกิดผล ที่ดีนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
[4] จิต สะสมกิเลสและกรรม เมื่อกรรมสำเร็จแล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้รับผล คือ วิบาก ในภายหน้าได้
[5] วันไหน ไม่มีกิเลส? ไม่มีเลย มีกิเลสทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้กิเลสเกิด ขึ้นทำกิจหน้าที่
[6] กิเลส จะเกิดกับใคร ที่ไหนก็เป็นมาร ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่หักราน ขัดขวาง ไม่ให้ความดีเกิดขึ้น เพราะในขณะที่กิเลสเกิดขึ้น ความดีก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย อยาก เป็นอะไร? อยาก เป็นโลภะ เป็นความติดข้องต้องการ เป็นธรรม อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา
[7] โลภะ เกิด ก็ชอบโน่นชอบนี่ โทสะ เกิด ก็โกรธนั่นโกรธนี่ และมีอวิชชาตาม มาด้วยเสมอในขณะที่อกุศลจิตเกิด
[8] ถ้าความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มี ไม่มีทางถึงการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลสได้เลย
[9] ห้วงน้ำใหญ่ของกิเลส มากมาย (โอฆะ) มีโลภะ ความติดข้องต้องการ เป็นต้น วันนี้ เริ่มข้าม บ้างหรือยัง?
[10] ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกิเลสอกุศลธรรม เป็นโอฆะ (ห้วงน้ำใหญ่) นั้น แสดงถึงความห่างไกลกันของผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว กับ ผู้ที่ยังจมอยู่ใน ห้วงน้ำของกิเลส ยังไม่ไม่ข้ามพ้นฝั่งนี้ไปได้
[11] พัก คือ ไม่ฟังพระธรรม พักอยู่ด้วยกิเลส ด้วยความติดข้องต้องการ และเพียร ไปด้วยความเห็นผิด ย่อมไม่สามารถข้ามห้วงน้ำคือกิเลสได้เลย เพราะเมื่อมี ความเห็นผิดแล้วจะเพียรไปทางไหน ก็ไปทางที่ผิดอย่างแน่นอน
[12] สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ แล้วจะพักอยู่ด้วยการไม่สนใจ ฟังพระธรรมอย่างนั้นหรือ?
[13] ถ้าหากว่ายังสงสัยอยู่ ก็จะถูกตรึงไว้ด้วยเครื่องตรึงคือความสงสัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง จนเป็นเหตุให้ผู้ฟังผู้ศึกษาละคลายความสงสัยเสียได้
[14] ที่เข้าใจผิด เพราะฟังแล้ว ไม่ไตร่ตรองในความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม
[15] อกุศลทั้งหลายที่มี ก็เพราะมีอวิชชา ถ้าหากว่าไม่มีอวิชชาแล้ว อกุศลใดๆ ก็ไม่มี
[16] จะพ้นจากกิเลสทั้งปวงได้ ก็ด้วยปัญญา และตามลำดับด้วย
[17] ความเข้าใจทีละนิดทีละหน่อย ไม่สูญหายไปไหน จะเป็นเครื่องชำระล้าง สิ่งสกปรกคือ อกุศล ออกไปจากจิตได้ จนกว่าจะสะอาดหมดจดได้จริงๆ
[18] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมตามที่ทรงตรัสรู้ ผู้ฟังผู้ศึกษาก็สามารถ เข้าใจถูกเห็นถูกได้ ตามกำลังปัญญาของตนเอง
[19] เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าพอใจ แล้วเกิดโทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ นั่น เป็นการคุ้ยให้เห็นถึงการสะสมว่ามากไปด้วยโทสะจริงๆ ถ้ายังไม่มีเหตุให้เกิด ก็ไม่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่เพราะมีเหตุปัจจัยเท่านั้นแหละ ก็เกิดขึ้นทันที
[20] หวังดีกับทุกคนได้ไหม? ขณะที่หวังดีต่อคนอื่นนั้น ไม่มีโทษอะไรๆ เลย
[21] ปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องไปทำอะไร แต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นและเป็นไป ตามลำดับด้วย ก่อนอื่นก็จะต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ควรอย่างยิ่งที่จะให้กาย วาจา ใจ เป็นกุศล เพราะการที่จะขัดเกลากิเลส ที่มีมากเป็นอย่างยิ่งนั้น ก็ต้องอาศัยการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน บ่อยๆ เนืองๆ
[22] ขณะใดที่จิตไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในการรักษาศีล ไม่ได้เป็นไป ในความสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ขณะนั้นเป็นอกุศลทั้งหมด
[23] การฟังพระธรรมอย่างละเอียด จะทำให้ขัดเกลาละคลายการที่มีความ อยากที่จะไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ด้วยความเห็นผิด
[24] ถ้าเห็นผิดในขณะนี้ ความเห็นผิดก็สะสมสืบต่อ ทำให้มีการสรรเสริญในความ เห็นผิดได้ เพราะฉะนั้นจะประมาทไม่ได้เลยสำหรับกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลาย
[25] ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ที่มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของพระธรรม ซึ่งไม่ง่ายที่ได้ฟัง และไม่ง่ายที่จะเข้าใจ
[26] ซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังและเข้าใจพระธรรมตาม ที่พระองค์ทรงแสดง
[27] คำแรกยังไม่เข้าใจ แล้วคำต่อไปๆ จะเข้าใจได้อย่างไร
[28] พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตรง จริง เป็นไปเพื่อความเข้าใจ ถูกเห็นถูกโดยตลอด ซึ่งจะต้องฟังต้องศึกษาด้วยความละเอียดจริงๆ ไม่เผิน
[29] ที่กล่าวว่า เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ก็ต้องเคารพทุกคำที่เป็นวาจาสัจจะ ที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ประมาทในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง เริ่มตั้งแต่คำว่า ธรรม
[30] ธรรม เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เช่น แม้ความขุ่นเคืองใจเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความขุ่นเคืองใจ เป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล เข้าใจธรรมในภาษาของคนไทย ไม่ต้องกังวลกับคำที่เป็นภาษาบาลี ขอเพียง เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
[31] คำใดก็ตามที่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เพิ่มความเห็นผิด ไม่ใช่เพิ่มความ เป็นตัวตน ไม่ใช่เพิ่มความติดข้องต้องการ นั่นเป็นพระพุทธพจน์ ที่ควรฟัง ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
[32] เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จึงจะชื่อว่า เข้าใจธรรม
[33] ได้ประโยชน์อะไรจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงแค่เวียนเทียน บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน แต่ต้องเป็นความเห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
[34] ภัยทั้งหลาย มาจากอกุศล อกุศลเท่านั้นที่นำภัยมาให้
[35] วันที่เราคลอดจากท้องแม่ แม่เจ็บที่สุด ควรอย่างยิ่งที่จะได้รู้ถึงพระคุณของ ท่าน และตอบแทนพระคุณของท่าน ที่จะตอบแทนพระคุณของท่านได้อย่าง แท้จริง คือ ให้ท่านได้มีศรัทธา น้อมไปในทางกุศลธรรม มีปัญญา ยิ่งขึ้น
[36] ตอบแทนพระคุณของผู้มีพระคุณ ต้องด้วยคุณความดีเท่านั้น ไม่ใช่ตอบแทนด้วยการกระทำชั่ว กระทำในสิ่งที่ผิด
[37] อกุศลของใคร ก็ของคนนั้น แต่ ส่วนที่ดี ก็เป็นส่วนที่ดี เป็นคนละส่วนกัน ไม่ปะปนกัน
[38] กุศล เป็น กุศล อกุศล เป็น อกุศล ถ้าเห็นว่า อกุศลเป็นกุศล หรือ เห็นว่า กุศลเป็นอกุศล นั่นผิดแล้วจากความเป็นจริง
[39] ผู้รู้คุณความดี จึงทำดี สะสมความดียิ่งขึ้น แต่ที่กระทำชั่ว ก็เพราะไม่รู้คุณ ของความดี
(ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความย้อนหลังครั้งที่ ๑๐๓ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
[1] เริ่มตั้งแต่การฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน ก็ฟังได้เมื่อ เข้าใจถูกต้อง การเจริญสมถภาวนาและการเจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวันของเพศ คฤหัสถ์ ก็เจริญได้ เช่น การระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ระลึก ถึงจาคะ ศีล ความตาย เมตตา เป็นต้น เหล่านี้เป็นการเจริญความสงบในชีวิตประจำ วันโดยไม่ต้องหลีกหนีหน้าที่การงานและสังคม ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน คือ การที่ สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อยู่ที่ไหนอารมณ์ใดก็ระลึกรู้ได้ ถ้าเข้าใจธรรมะ เพราะธรรมะมีอยู่ทุกขณะทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้น
[2] รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ หรือ รอยนิ้วหัวแม่มือ ย่อมปรากฏที่ด้ามมีดของนายช่างไม้ หรือ ลูกน้องของนายช่างไม้ แต่นายช่างไม้ หรือ ลูกมือของนายช่างไม้นั้น หารู้ไม่ ว่าวันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้ วันนี้สึกไปประมาณเท่านี้ นายช่างไม้ หรือลูกมือนายช่างไม้นั้น รู้แต่ว่า สึกไปแล้ว สึกไปแล้วโดยแท้แล แม้ฉันใด ความเห็นผิดว่า เป็นตัวตน ลดลงทุกขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูป แต่เรา ไม่รู้ว่าละคลายลงวันละเท่าใด
[3] "เราควรปฏิบัติอย่างไร" เมื่อฟังธรรมจนเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมปฏิบัติกิจ ของธรรมเพราะธรรมไม่ใช่เรา เหมือนที่พระธรรมแสดงว่า เพราะจิตเป็นใหญ่มีเจตนา ที่เป็นกรรมร่วมด้วย ไม่ใช่ตัวเรา จึงมีแต่ธรรมแต่ละอย่าง ทำกิจแล้วก็ดับไป สะสมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในจิต เกิดแล้วก็ดับ สะสมอีก เกิดแล้วก็ดับอีก แต่เมื่อยังศึกษา หรือฟังไม่เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็ฟังต่อไปอีก เพราะจิตย่อมสะสมความเข้าใจ พระธรรม ไม่มีเราสะสม หรือไม่ก็เพียรพยายามไประลึกสิ่งที่ไม่ปรากฎนั่นเอง แล้วกุศลและปัญญาจะเจริญได้อย่างไรกันคะ?
[4] ไม่มีบุคคลผู้ใดที่จะสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้โดยไม่มีการฟัง พระธรรม การศึกษาพระธรรมการฟังพระธรรมจะทำให้เรามีความเข้าใจในสภาพธรรมตามความเป็นจริงมากขึ้นจากการเป็นผู้ที่ไม่เคยรู้ ก็จะค่อยๆ รู้ขึ้น ฉะนั้น ผู้ที่ศึกษาธรรมต้องมีความอดทนในการที่จะศึกษา ในการที่จะฟัง พิจารณาไตร่ตรองความลึกซึ้งของพระธรรม
[5] ไม่มีใครเอาธรรมะไปใช้ได้ แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมตามความ เป็นจริง คือ ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ผู้ที่มีปัญญาคือเข้าใจธรรมเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะได้ฟังพระธรรมก็ควรที่จะตั้งใจฟังต่อไป แม้ครั้งแรกๆ จะยังไม่รู้ เรื่องแต่ผู้ที่ได้อบรมฟังมาแล้วในครั้งพุทธกาลท่านก็เดินทางนี้ ก็ต้องอบรมฟังต่อไป จนกว่าจะถึงกาลที่เหตุสมควรแก่ผล"
[6] ขณะที่สนทนากัน ก็คุ้ยกิเลสของตนเอง แต่ ไปเห็นกิเลสของคนอื่น ก็คุ้ยกิเลสตนเองอีกในขณะนั้น ควรไหมที่จะหวังดีกับทุกคน แต่ ขณะที่คิดว่า อย่าไปคุยกับเขา คุ้ยกิเลสของตนเองแล้วค่ะ
[7] สมัยนี้ชอบใช้คำว่า เป็นกลาง ใช่ไหม การจะใช้แต่ละคำต้องเข้าใจ เพราะมีสองฝ่าย ชั่ว กับดี เพราะฉะนั้น จะเป็นฝ่ายไหน ดี กับ ชั่ว เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ฉันเป็นกลาง จะเป็นกลางได้อย่างไร ก็มีแค่ดี กับ ชั่ว กุศลธรรม เป็นกุศลธรรม อกุศลรรม เป็นอกุศลธรรม สภาพธรรมที่ไม่ใช่ กุศล อกุศล เป็นรูป รูปไม่ใช่สภาพ ธรรมกลาง ถ้าเป็นกุศล ก็ต้องเป็นกุศล ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นกลาง
ขออนุโมทนา
เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จึงจะชื่อว่า เข้าใจธรรม
ได้ประโยชน์อะไรจากวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงแค่เวียนเทียน บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน แต่ต้องเป็นความเห็นประโยชน์ของพระธรรมที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
- ขณะที่สนทนากัน ก็คุ้ยกิเลสของตนเอง แต่ ไปเห็นกิเลสของคนอื่น ก็คุ้ยกิเลสตนเองอีกในขณะนั้น ควรไหมที่จะหวังดีกับทุกคน แต่ ขณะที่คิดว่า อย่าไปคุยกับเขา คุ้ยกิเลสของตนเองแล้วค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องไปทำอะไร แต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นและเป็นไป ตามลำดับด้วย ก่อนอื่นก็จะต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ควรอย่างยิ่งที่จะให้กาย วาจา ใจ เป็นกุศล เพราะการที่จะขัดเกลากิเลส ที่มีมากเป็นอย่างยิ่งนั้น ก็ต้องอาศัยการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน บ่อยๆ เนืองๆ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ