-- ตาอยู่ที่ไหน --
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถอดคำบรรยายธรรมะ ของ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
จากไฟล์เสียง---บ้านธัมมะ > ฟังธรรม > ธรรมะเตือนใจ
(ข้อความโดย มศพ.) ผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล ย่อมเต็มไปด้วยอัตตสัญญาต สัญญาคือ ความจำ ว่า เป็นตัวตน อย่างหนาแน่น เช่น จำไว้ อย่างมั่นคงว่า ส่วนใดของกาย อยู่ตรงไหน จึงต้อง สะสม ความเข้าใจในสภาพธรรม คลายอัตตสัญญา จนกว่าจะ ประจักษ์ ลักษณะของอนัตตสัญญา
ท่านอาจารย์สุจินต์ ถาม คำถาม ที่ทุกคนคงจะตอบได้ ตาอยู่ที่ไหน ตอนนี้ ไม่ใช่ สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว นะคะ ไม่ใช่ สีสันวัณณะ แต่ ถามว่า ตาอยู่ที่ไหน ไม่น่างง ใช่ไหมคะ ธรรมดา ตาอยู่ที่ไหน ทุกคน จำได้ ใช่ไหมคะ ว่า ตาอยู่ตรงไหน บางคน ก็เอา มือชี้ นิ้วชี้ นะคะ ตาอยู่ตรงนี้ เพราะจำ แค่นี้ กว่าจะระลึกได้ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ไม่ปรากฏ แต่เคยเข้าใจว่า มีแม้ว่า สิ่งนั้น ไม่มีแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้ว ก็ยังจำว่า มี
เพราะฉะนั้น การที่จะ ละคลาย การยึดถือ “เห็น" เฉพาะ “เห็น” ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ไปคิดว่า ขณะนี้ “เห็น” อยู่กลางตาของเรา ที่หน้าของเรา นั่นคือ สัญญาความจำ ว่า ยังมีหน้าและมีตา ความจำ นี่ ละเอียดมาก เลยค่ะ จำไปหมดเลย เวลานี้ ทุกคน จำได้ ใช่ไหมคะ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แล้วพอพูดถึง แข็ง ก็จำได้ว่า ตรงไหน พูดถึงขา พูดถึงเล็บ จำได้หมดเลย ทั้งๆ ที่ ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เวลา ถามว่า ขณะนี้ ตาอยู่ที่ไหนเนี่ย ก็ตอบได้ เพราะจำ อัตตสัญญา แล้วเมื่อไหร่จะหมดคะ คือ ขณะนั้น ต้องไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น หน้าไม่มี แขนไม่มี จมูกไม่มี หูไม่มี มีแต่ธาตุ ที่กำลังรู้ สิ่งที่ปรากฏ นะคะ แล้วดับ เพียงหนึ่ง นี่ค่ะ จะมี ที่ไหนอีก จะเป็น ที่แขน ที่ขา ที่มือ ที่เท้า ที่ตา อย่างที่เคยคิด ก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว ขณะที่ “เห็น”เกิด เกิดตามความเป็นจริง จะใช้ คำว่า เห็น จักขุวิญญาณ เกิดที่จักขุปสาท ซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น
รูปนี้ไม่ใช่ตาขาวตาดำทั้งหมดนะคะ แล้วก็มองไม่เห็นด้วย ที่เกิด ก็คือ กลางตา แต่ไม่มีใครมองเห็น แต่กำลังกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่กลางหลัง หรือกลางศีรษะ หรือกลางหู เพราะฉะนั้น รู้ ว่าอยู่ตรงนั้น แต่ จำว่า มีเรา ที่มีศีรษะ แล้วก็ มีคิ้ว มีตา จมูก ปาก แต่ว่า เวลาที่เป็นธรรมะจริงๆ นะคะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะ ความจริง ขณะนั้น ไม่มี ต้องมีแต่ เฉพาะ สิ่งที่เพียงปรากฏ คือ ความละเอียดว่า แม้ “เห็น” ขณะนี้นะคะ ที่เกิดที่จักขุวัตถุ ตามที่ศึกษา เพื่อที่จะให้ รู้ว่า แม้ “เห็น” ก็มีเกิดที่รูป ไม่ใช่นอกรูป แต่ในรูป แต่ รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ก็ดับด้วย รวมความว่า ทุกอย่างเกิดดับ แต่ก็ พอจะให้เห็น ความจริงว่า การที่จะ คลาย การยึดถือสภาพธรรมะ ว่า เป็นตัวตน
ถ้าไม่ละเอียด ยังคงมี อัตตสัญญา เพราะเหตุว่า ตาของเรา ใช่ไหม แต่ว่า ขณะนั้น ตรงนั้น ที่เห็น แล้วมีสิ่งที่ปรากฏ ชั่วขณะนั้น แล้วดับ ทั้งจักขุปสาทก็ดับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ดับ จิตเห็นก็ดับ เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตเห็นก็ดับ แล้วจะเหลืออะไร เพราะฉะนั้น ความเป็นเรา หรือ ความเป็นอัตตาเนี่ยค่ะ ลึกมาก เหนียวแน่นมาก ถ้า ไม่ใช่ ปัญญา จริงๆ นะคะ “ละ” ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ปัญญา จึงต้องอบรม ตั้งแต่ขั้นการฟัง เข้าใจ สิ่งที่ฟัง เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจ ไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ แต่พอฟังแล้วบ่อยๆ นะคะ มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น คิดถึง การสะสมของท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัป ที่จะเป็นพระอัครสาวก ก่อนนั้นไม่เป็นแม้พระโสดาบัน แต่พอได้ฟังคำท่านพระอัสสชิ เป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้น ๑๕ วัน เป็นพระอรหันต์ ถ้า ไม่มี ความเข้าใจธรรมะ ที่ได้สะสมมามากมายมาย จนสามารถ ที่จะ เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ จากการเพียงฟัง แล้ว ละ ความติดข้อง ก็ ไม่สามารถ ที่จะ รู้ความจริง ของ สภาพธรรมะได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ค่ะ ผู้ที่รู้แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระสาวกทั้งหลาย ไม่ได้ สงสัย ในสิ่งที่ปรากฏ ใน “เห็น” ที่กำลังเห็น ในขณะนี้ เพราะเหตุว่า ถ้าสงสัย เป็น พระโสดาบัน ไม่ได้ เพราะเหตุว่า ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ดับ วิจิกิจฉานุสัย ความสงสัย ใน สิ่งที่ปรากฏ ไม่เกิดอีกเลย เพราะว่า กว่าจะ ละ ความสงสัย ปัญญา ก็ค่อยๆ เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นการฟัง ก็ต้องค่อยๆ ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ โดย ไม่หวังว่า จะ รู้ ความจริงของสภาพธรรมะ ตามที่ทรงแสดงเมื่อไหร่ และ วันไหน แต่ ทุกอย่าง ที่เป็นผล นะคะ ต้องมาจาก เหตุ ถ้ามีเหตุ คือ ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว จะให้ไปทิ้งที่ไหนคะ ปัญญา ก็จะต้อง เข้าใจถูก เห็นถูก เพราะว่า ปัญญา เป็นความเข้าใจ ซึ่งทุกคนลืมนะคะ ใช้คำว่า ปัญญา แต่ลืมว่า หมายความถึง เข้าใจ กำลังมี “เห็น” เข้าใจ “เห็น” ไม่ใช่ให้ต้องไปทำอะไรเลย ฟัง จนกระทั่ง เข้าใจ ก็คือ “เห็น” อย่างนี้แหละ ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้น “เห็น” แล้วก็ดับไป “ได้ยิน” ไม่ใช่เห็นแล้ว เกิดขึ้นนะคะ “ได้ยิน” แล้วก็ดับไป เป็นอย่างนี้ นานมาแล้วด้วย แล้วตลอดไปด้วย และแม้ในขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ จึงต้องละเอียด ละเอียด จนกระทั่งว่า อัตตสัญญาต้องไม่มี จึงจะ ประจักษ์ ลักษณะของอนัตตสัญญา ได้.
กราบเท้า บูชาคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนา ใน กุศลทุกประการ ของ ทุกๆ ท่าน นะคะ
--- ถอดข้อความโดย ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี) ---