สภาพนามธรรมขณะที่เข้านิโรธสมาบัติ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเรียนถามครับ เนื่องจากเป็นประเด็นที่สงสัยในกลุ่มสนทนา ถามว่า ขณะที่พระอนาคามีหรือพระอรหันต์อยู่ในระหว่างนิโรธสมาบัติ ดับจิตได้ชั่วขณะ ไม่มีจิต เจตสิกเกิดขึ้น จึงไม่มีอารมณ์ใดๆ คำถามที่อยากเรียนถามคือ
๑. การดับของจิตชั่วคราว จิตดวงสุดท้ายขณะนั้นไม่เป็นเหตุให้จิตดวงต่อไปเกิดสืบต่อทันที จะถือว่าจิตดวงนั้นไม่เป็นอนันตรปัจจัยได้หรือไม่ หรือยังเป็นอยู่ แต่เว้นช่วงไว้ชั่วคราวเท่านั้น
๒. เมื่อดับชั่วคราว ไม่มีจิต เจตสิก ก็ไม่มีภวังคจิตด้วยในขณะนั้น หรืออย่างไรครับ
คำถามอาจยากเกินและยากที่จะรู้และเข้าใจ แต่จะรบกวนตอบตามที่มีปรากฏในพระไตรปิฏก เพื่อไม่ให้เกิดความคิดเห็นที่ผิดคลาดเคลื่อนไปจากความจริงครับ
อนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้จะเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น ต้องเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้ได้ฌานขั้นสูงสุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน กล่าวได้ว่าต้องเป็นผู้อบรมทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
ในขณะที่เข้านิโรธสมาบัตินั้น ดับจิตและเจตสิก จิตและเจตสิกไม่เกิด เมื่อจิตและเจตสิกไม่เกิด รูปที่เกิดจากจิตก็ไม่เกิด
จากประเด็นคำถาม ประมวลได้ว่า จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ไม่มีจิตอื่นคั่นและเป็นลำดับด้วยดีด้วย ยกเว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่เกิดแล้วดับไปไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตขณะต่อไป
ดังนั้น ก่อนที่จะถึงการเข้านิโรธสมาบัติ ก็มีจิตเกิด และเมื่อออกจากนิโรธสมาบัติก็มีจิตเกิดสืบต่อจากขณะก่อนเข้านิโรธสมาบัติ เป็นลำดับด้วยดี โดยเป็นอนันตรปัจจัย
ตามความเป็นจริงของธรรม
ในระหว่างที่เข้านิโรธสมาบัตินั้น จิต เจตสิกไม่เกิด ไม่มีจิตประเภทใดๆ เกิดเลยรวมถึงภวังคจิตด้วย แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นก็เกิดไม่ได้
ขอเชิญอ่านอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่อ้างอิงข้อความจากพระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค นิโรธสมาปัตติญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
สำหรับพระอนาคามีบุคคลและพระอรหันต์ ผู้บรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น สามารถเข้า นิโรธสมาบัติ คือดับจิตและเจตสิกไม่เกิดเลยตลอดเวลาไม่เกิน ๗ วัน เพราะอาหารที่บริโภคแล้วนั้น ค้ำจุนร่างกายได้ไม่เกิน ๗ วัน
การเข้า นิโรธสมาบัติ ซึ่งดับจิตและเจตสิกได้ชั่วคราวนั้น ต้องประกอบด้วยกำลัง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งสมถะและวิปัสสนา คือถึงแม้ว่าเป็นพระอนาคามีบุคคลหรือพระอรหันต์ แต่ไม่บรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายนตฌาน ก็เข้านิโรธสมาบัติ ไม่ได้ พระโสดาบันบุคคลและพระสกทาคามีบุคคลที่บรรลุถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้
เมื่อจะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ต้องเข้าตั้งแต่ปฐมฌานเป็นลำดับไปโดยเมื่อออกจากปฐมฌานแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจึงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน แล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายโดยสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจึงเข้าตติยฌานออกจากตติยฌานแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ ตลอดไปจนถึงอากิญจัญญายตฌาน เมื่อออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้วกระทำกิจเบื้องต้น๔ อย่าง คือ
นานาพัทธอวิโกปนะ ๑
สังฆปฏิมานนะ ๑
สัตถุปักโกสนะ ๑
อัทธานปริจเฉทะ ๑
นานาพัทธอวิโกปนะ คือ อธิษฐานให้บริวารของใช้อันเนื่องกับตน เช่น บาตร จีวร เตียง ที่อยู่อาศัย ไม่ถูกทำลายเสียหายด้วยไฟ น้ำ ลม โจร เป็นต้น ภายใน ๗ วันที่เป็นนิโรธสมาบัติ ส่วนสิ่งใดที่ใช้อยู่เนื่องกับตน เช่น ผ้านุ่งผ้าห่ม ที่นั่ง ไม่มีกิจที่จะอธิษฐานต่างหาก เพราะสมาบัตินั่นแลย่อมคุ้มครองมิให้ถูกทำลายเสียหายได้
สังฆปฏิมานนะ คือ อธิษฐานให้ออกจากนิโรธสมาบัติ เมื่อต้องร่วมประชุมสงฆ์เพื่อทำสังฆกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด
สัตถุปักโกสนะ คือ อธิษฐานให้ออกจากนิโรธสมาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกหา
อัทธานปริจเฉทะ คือ การพิจารณากำหนดกาลของชีวิต ว่าจะมีอายุตลอดไป ๗ วันหรือไม่ เพราะระหว่างนิโรธสมาบัตินั้นจุตจิตเกิดไม่ได้ เมื่อมีอายุตลอดไป ๗ วันได้จึงเข้านิโรธสมาบัติ
เมื่อทำบุพพกิจ ๔ นี้แล้ว ก็เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยจิตเกิดดับสืบต่อกันตามลำดับวาระของเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน วิถีจิตโดยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิตเกิด ๒ ขณะ แล้วจิตเจตสิกไม่เกิดเลยใน
ระหว่างที่เป็นนิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน
เมื่อถึงกำหนดออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ผลจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ แล้วภวังคจิตจึงเกิดต่อ.ฯลฯ..
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
สัญญาเวทยิตนิโรธ มีนอกพระพุทธศาสนาหรือไม่ครับ?
....กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. การดับของจิตชั่วคราว จิตดวงสุดท้ายขณะนั้นไม่เป็นเหตุให้จิตดวงต่อไปเกิดสืบต่อทันที จะถือว่าจิตดวงนั้นไม่เป็นอนันตรปัจจัยได้หรือไม่ หรือยังเป็นอยู่ แต่เว้นช่วงไว้ชั่วคราวเท่านั้น
- ตราบใดที่จิต เจตสิก ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เป็นปัจจัย ในขณะนั้น เพราะ อนันตรปัจจัยจะต้องมี เหตุ และมีปัจจยุบัน นั่นคือ สภาพธรรมที่เป็นผล คือ จิต เจตสิกนั่นเอง
ดังนั้นขณะที่ดับ จิต เจตสิก ของพระอนาคามี และพระอรหันต์ ขณะที่เข้านิโรธสมาบัติอยู่ ไม่มีจิต เจตสิกเกิดขึ้น ขณะนั้น ก็ยังไม่มีปัจจยุบัน คือ ผลที่เป็น จิต เจตสิก แต่ เมื่อออกจานิโรธสมาบัติแล้ว มี จิตเกิดขึ้นเมื่อใด พร้อมเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จิตก่อนเข้านิโรธสมาบัติ จึงเป็นอนัตตรปัจจัย กับ จิต เจตสิกที่เพิ่งเกิดหลังจากออกจานิโรธสมาบัติ เพราะ เกิดผล ที่เป็น ปัจจยุบัน คือ จิต เจตสิกในขณะนั้น ครับ
ดังนั้น ช่วงที่เข้านิโรธสมาบัติ ที่ไม่เกิด จิต เจตสิก ก็ไม่มีปัจจัย โดยอนันตรปัจจัยในขณะนั้น ครับ ดังนั้นเมื่อเรากล่าวถึงปัจจัย ทุกปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยอะไรก็ตาม ต้องคำนึงถึง ปัจจยุบัน คือ ผลของเหตุนั้นด้วย ว่า มี ปัจยุบันเกิดหรือไม่ ถ้าเกิด จึงสำเร็จ เป็นปัจจัยนั้น ครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
๒. เมื่อดับชั่วคราว ไม่มีจิต เจตสิก ก็ไม่มีภวังคจิตด้วยในขณะนั้น หรืออย่างไรครับ
- ถูกต้อง ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอขอบพระคุณ อ.คำปั้น อ.ผเดิม เป็นอย่างสูงครับ
ขออนุโมทนา