ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๗

 
khampan.a
วันที่  8 ก.ย. 2556
หมายเลข  23548
อ่าน  1,385

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๗]

[1] ท่านที่ศึกษาพระธรรม มีความจริงใจที่จะศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจพระธรรม แต่ถ้า ศึกษาเพราะเหตุอื่น คือ เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญหรือเพื่อสักการะ ขณะนั้นไม่ใช่ ความจริงใจในการศึกษาพระธรรม ก็ควรที่จะได้พิจารณาจุดประสงค์จริงๆ ของการศึกษา พระธรรมว่า มีความจริงใจต่อการที่จะเข้าใจพระธรรมเพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส เพื่อจะอบรมเจริญปัญญา ที่จะละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) เท่านั้นไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น

[2] แต่ละท่านก็ลองพิจารณาตนเอง จะคิด จะพูด จะทำ จะชอบจะไม่ชอบสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ไม่เฉพาะชาตินี้ ชาติเดียว แต่ว่าต้องเคยคิด เคยทำ เคยพูด เคยชอบ เคยไม่ชอบ อย่างนั้นๆ มาแล้วในอดีต จนกระทั่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดคิด พูด หรือ ทำให้ขณะนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะด้วยกุศลจิต หรือ อกุศลจิตประเภทใดๆ ก็ตาม

[3] ลาภที่ปรารถนานักในโลกนี้ แม้แต่ยศ และ สรรเสริญ ที่ปรารถนากันนัก ทั้งหมดนั้น ไม่สามารถติดตามไปในภพหน้าได้เลย แต่ทำไมจึงติดในในลาภ ยศ สรรเสริญ ในสักการะ เพราะว่าคนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ คือคิดถึงฉพาะโลกนี้ที่กำลัง เป็นอยู่เท่านั้น จนกระทั่งสามารถจะกระทำทุจริตต่างๆ หรืออาการที่เป็นไปเพราะ อกุศลจิตต่างๆ ด้วย โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เพราะไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ

[4] ฟังธรรมเพื่ออะไร? เพื่อละความไม่รู้ แต่ไม่ใช่เพื่ออยากได้อะไร เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังไม่รู้ ไม่รู้ ก็ทำไม่รู้ๆ ต่อไปอีก ก็คือยังคงไม่รู้ๆ ไปอยู่เรื่อยๆ ไม่มีทางจะละคลายความไม่รู้เลย

[5] ก่อนอื่นก็จะต้องทราบว่า โทสะไม่ใช่ในขณะที่โกรธหรือไม่พอใจเท่านั้น พอได้ยินคำว่าโทสะ ทุกคนก็คิดถึงความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจหรือความโกรธ แต่ให้ทราบว่า ในขณะใด ที่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นโทมนัสเวทนา เวทนา ความรู้สึกนี้ ทุกข์ โทมนัส ไม่ดี ไม่สบายใจ ขณะนั้นต้องมีโทสเจตสิก เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง

[6] ลักษณะอาการของโทสเจตสิก ก็ไม่ใช่แต่เฉพาะในขณะที่ขุ่นเคืองใจ หรือไม่พอใจเท่านั้น แต่ให้ทราบว่าในขณะที่กลัว ตกใจ กังวลใจ โศกเศร้า เสียใจ เดือดร้อนใจ น้อยใจ เบื่อ หงุดหงิด รำคาญกลุ้มใจ วิตกกังวล หรือแม้แต่ คิดมาก ขณะนั้นควรพิจารณาดูว่า ความรู้สึกดี หรือ ไม่ดี เพราะว่าส่วนใหญ่จะบอกว่า คิดมากไป เป็นทุกข์เสียแล้วเพราะคิดมากเกินไป ก็แสดงให้เห็นว่านั่นก็เป็นลักษณะของโทสะ

[7] จะดับโทสะ ดับง่าย หรือ ดับยาก? เพียงทันทีที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แม้แต่ ผลไม้เสียนิดเดียว โทสเจตสิก ก็เกิดกับอกุศลจิตนั้นทำให้เป็นโทสมูลจิต เวลาได้ยิน เสียงดัง อาจจะเป็นเสียงเพลงก็ได้ แต่ว่าดังไป ขณะนั้นเป็นอย่างไร โทสมูลจิต ก็เกิดแล้ว ขณะที่ได้กลิ่นซึ่งช่วยไม่ได้เลยผ่านบางแห่ง บางสถานที่จะมีกลิ่นขยะ หรือว่า กลิ่นน้ำเน่า กลิ่นสิ่งปฏิกูล เกิดความไม่พอใจ ขณะนั้นก็เป็นโทสมูลจิต

[8] ถ้ากุศลกรรมยังคุ้มครองอยู่ จะไม่มีโอกาสได้รับอารมณ์ที่ไม่ดี ทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย ถ้าอกุศลได้โอกาสเมื่อใด วิบากจิตก็เกิดขึ้นรับอารมณ์ที่ไม่ดีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

[9] ที่คนอื่นสามารถทำร้ายเราได้ ที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย ที่เห็นรูปไม่ดี ได้ยินเสียง ไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ได้รสไม่ดี ก็เพราะอกุศลกรรรมของเราที่ได้ทำไว้ มีโอกาสให้ผล ฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจเหตุและผลของกรรมและวิบาก จึงลดความหวั่นไหวตามความมากน้อย ของปัญญาอย่างแท้จริง

[10] ขณะใดที่ อกุศลธรรมเกิด ขณะนั้น หลงลืมสติ เพราะว่าสติไม่เกิด

[11] ถ้าไม่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม จนกระทั่งเข้าใจในสภาพที่เป็นอนัตตา ละเอียดขึ้น ก็ไม่มีทางที่สติจะเกิดขึ้นระลึก แล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็น ตัวตนได้

[12] ลองนึกถึงวันที่ไม่ฟังพระธรรม วันนั้นเป็นยังไงบ้าง อกุศลมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละครั้งก็เหมือนกับจะเป็นสิ่งที่เกื้อกูล ให้หายจากความมัวเมา ด้วยอกุศลในวันหนึ่งๆ

[13] ใครที่มักโกรธในชาตินี้ให้ทราบว่า ชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธแล้ว ถ้าชาตินี้ยัง มักโกรธ อย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็นึกถึงภาพชาติหน้าได้ ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็น อย่างนั้นต่อไป หรือ อยากจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากเป็นอย่างอื่นก็ต้อง เริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้

[14] ปกติเป็นอกุศลทุกวันชีวิตเป็นไปในเรื่องของอกุศลทั้งนั้น ขณะนั้นก็เป็นอกุศล ศีล ถ้าปกติเป็นผู้มีศีล เป็นผู้ที่มีกายวาจาสุจริต นั่นก็เป็นกุศลศีล

[15] ปกติเป็นอกุศล เมื่อเห็นโทษของอกุศล จึงเพียรที่จะเป็นปกติเป็นกุศลศีล ไม่ใช่ ปกติเป็นอกุศลศีล เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าแต่ละชีวิต แม้จะได้เคยฟังพระธรรม มามาก และเจริญบารมีมาบ้างแล้ว แต่กำลังของกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ก็เป็นปัจจัย ที่จะให้เกิดอกุศลประเภทต่างๆ ขั้นต่างๆ ได้

[16] ผู้ที่ขาดเหตุผล อาจจะทำให้ยึดมั่นหรือสนใจในเรื่องของมงคลตื่นข่าวต่างๆ ได้ เพราะแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมมาบ้างแล้ว แต่ถ้ายังไม่ตั้งมั่นในพระสัทธรรม ก็ อาจจะเผลอไปเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลซึ่งเป็นมงคลตื่นข่าวได้

[17] เกิดมาแล้ว ได้เกื้อกูลกันเป็นมิตรกันในทางธรรมหรือมีส่วนร่วมกันเผยแพร่ พระธรรม ชาตินั้นก็เป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดย สถานอื่น

[18] เมื่อมีคนที่ทำผิด เป็นที่ติเตียนของสังคม จิตของท่านคิดอย่างไร ถ้าคิดช่วยกัน กระหน่ำซ้ำเติมบุคคลนั้น จะเห็นได้หรือไม่ว่าขณะนั้นเข้าใจผิดว่าอธรรม (อกุศลธรรม) ดีกว่าธรรม (กุศลธรรม) เพราะในขณะที่ช่วยกันกระหน่ำซ้ำเติมนั้นเป็นอธรรม ไม่ใช่กุศล ธรรม ถ้าเป็นกุศลธรรมแล้วย่อมทำให้เกิดสติระลึกได้ และมีเมตตา มีความอดกลั้น มีความอดทน แทนที่จะช่วยกันให้เกิดอกุศลหรือโทสะเพิ่มขึ้น

[19] การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้มีโอกาสเข้าใจพระธรรมและประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมของผู้นั้นเจริญขึ้น

[20] แม้เพียงฟังพระธรรมก็ยังไม่ฟัง แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร

(ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความย้อนหลังครั้งที่ ๑๐๖ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๖

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วย ครับ

[1] ที่สำคัญไม่ควรลืมว่า ควรอบรมปัญญาเพื่อละ และเมื่อปัจจัยทั้งหลายถึงพร้อม ปัญญาก็จะเกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ดับไป ความต้องการปัญญา หรือความสงสัยในปัญญา ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยเป็นอาหารของปัญญา คือ การฟังพระสัทธรรม

[2] อกุศลของเรายังจัดการไม่ได้ เปล่าประโยชน์ที่จะจัดการอกุศลของผู้อื่น หน้าที่ คือศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อค่อยๆ ขัดเกลากิเลสของตัวเองไป พระธรรมจะเป็นที่พึ่ง ของเราเสมอเมื่อเข้าใจพระธรรมแม้แต่ขั้นอนุบาลก็ตาม

[3] ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่? จึงควรอบรมเจริญกุศลทุกประการ อย่าประมาทแม้อกุศลเพียงเล็กน้อย เพราะจะสะสมเป็นเหตุปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรม ได้ และแม้กุศลเพียงเล็กน้อยก็อย่าละเลยที่จะกระทำ และในชีวิตประจำวันควร อบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงเนืองๆ บ่อยๆ ย่อม เป็นผู้ไม่ประมาทเมื่อวันนั้นมาถึง

[4] ไม่ทราบจริงๆ ว่ากำลังจะไปไหน หรือจะมีที่ไหนเป็นที่ไป รู้แต่ว่ากำลังศึกษาพระ ธรรมและฟังธรรมอยู่เพื่อการขัดเกลากิเลสอกุศลเพื่อสะสมเหตุ คือ ความเข้าใจถูกที่ ๆ กำลังจะไป คงเป็นที่ๆ สมควรแล้ว ตามเหตุที่ได้สะสมไว้

[5] พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมอบพระธรรมวินัยไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์จึงเป็นหน้าที่ ของพุทธบริษัททั้งหลายที่ควรจะสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยการศึกษา และประพฤติปฏิบัติตามด้วยความนอบน้อม

[6] การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมตามกาล ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อความ เข้าใจถูกนี้ ชื่นใจหาใดปานความชุ่มชื่นใจใด ก็ไม่เท่าความชุ่มชื่นใจที่ได้ฟังพระธรรม และเข้าใจในพระธรรมนั้น

[7] มีชีวิต ... ก็มีทุกข์แต่จะทุกข์มาก ... ทุกข์น้อยขึ้นอยู่ที่การได้อบรมเจริญปัญญามาก น้อยแค่ไหนค่ะ

[8] พระธรรมเทศนาทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นสัจจะสูงสุดเป็น เหตุเป็นผลของสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ที่สอดคล้องกันไปทั้งหมด ไม่มีติดขัด มีความเป็นเงื่อนไขของธรรมะโดยตัวมันเองแต่ละอย่างๆ จึงเป็น พระธรรมที่มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงมีพระมหากรุณาคุณ ตรัสสอน ตรัสเตือน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้บรรดาเหล่าสาวกพึงถือเอาสิ่งที่ เป็นสาระ และตั้งอยู่บนความไม่ประมาทอยู่เสมอ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 8 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
rrebs10576
วันที่ 9 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 9 ก.ย. 2556

"เกิดมาแล้ว ได้เกื้อกูลกันเป็นมิตรกันในทางธรรม หรือมีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็เป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ยิ่งกว่า ชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถานอื่น"

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 9 ก.ย. 2556

ขออนุญาติร่วมปันธรรมด้วยค่ะ

- อะไรเป็นอารมณ์ของความเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงขณะนี้

- ผู้ถาม ธรรมช่างเกิดดับอย่างรวดเร็ว ยากที่จะเข้าใจได้ ท่านอาจารย์ตอบว่า ท่านกำลังสรรเสร็ญ พระปัญญาคุณ

- ขณะที่คิดปฏิบัติ โดยไม่เข้าใจ ก็เป็นตัวตน ตัวเราแน่นอน

- พระวินัย ก็คือ ธรรม ถ้าไม่มีสภาพธรรมก็ไม่มีพระวินัย

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 9 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 9 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 10 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
bsomsuda
วันที่ 11 ก.ย. 2556

ถ้าไม่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม จนกระทั่งเข้าใจในสภาพที่เป็นอนัตตาละเอียดขึ้น ก็ไม่มีทางที่สติจะเกิดขึ้นระลึก แล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้

ลองนึกถึงวันที่ไม่ฟังพระธรรม วันนั้นเป็นยังไงบ้าง อกุศลมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละครั้ง ก็เหมือนกับจะเป็นสิ่งที่เกื้อกูล ให้หายจากความมัวเมาด้วยอกุศลในวันหนึ่งๆ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jarunee.A
วันที่ 7 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ