ความต่างกันระหว่าง พุทธวัจนะ และ พระอภิธรรม
ความต่างกันระหว่าง พุทธวัจนะ และ พระอภิธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธวจนะ หมายถึง พระดำรัส (คำพูด) ของพระพุทธเจ้า เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงทั้งหมดตลอด ๔๕ พรรษา เป็นพระพุทธพจน์ ซึ่งเมื่อ
รวบรวมประมวลแล้ว ก็อยู่ในพระไตรปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระ
อภิธรรมปิฎก เมื่อกล่าวให้ย่อที่สุดแล้ว เป็นพระธรรมวินัย ส่วนพระธรรมเทศนา ที่
แสดงถึงอดีตประวัติของพระองค์และพระสาวกทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงใน
อดีต อยู่ในส่วนของพระสุตตันตปิฎก
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า (พระพุทธพจน์) เป็นพระธรรมคำสอนที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขย แสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก และเป็นการที่ยากมาก กับที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เพราะฉะนั้น การได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ที่สืบทอดมาจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต และจะต้องเป็นผู้สะสมศรัทธา เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟัง ได้สะสมปัญญาต่อไป
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ประกอบด้วย
๑. พระวินัยปิฏก
๒. พระสุตตันตปิฏก
๓. พระอภิธรรมปิฏก
พระวินัยปิฏก
เกี่ยวกับระเบียบข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่อพรหมจรรย์ขั้นสูงยิ่งขึ้น เป็นส่วนใหญ่
พระสุตตันตปิฏก
เกี่ยวกับหลักธรรม ที่ทรงเทศนาแก่บุคคลต่างๆ ณ สถานที่ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่
พระอภิธรรมปิฏก
เกี่ยวกับสภาพธรรม พร้อมทั้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวง โดยไม่มีสัตว์ บุคคล เพราะ
แสดงแต่สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจก่อนว่า พระอภิธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ละเอียดโดยความเป็น
ธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นๆ
ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรม ตามความเป็น
จริง แล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระอภิธรรม จึงไม่พ้น
ไปจากชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส
รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น นี้แหละ คือ พระอภิธรรม เป็น
สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน พระอภิธรรมจึงไม่ได้อยู่ในตำรา
พระพุทธวัจนะ ที่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็รวม ทั้งพระอภิธรรมด้วย
พระสุตตันตปิฎกด้วย และ พระวินัยด้วย ครับ
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมีว่า การจะตัดสินว่า ธรรมใด เป็น
พระธรรมคำสั่งสอนของเราหรือไม่ ให้พิจารณาในคำสอนนั้นว่า คำสอนใด เป็นไปเพื่อ
เบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากกิเลส ละกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา
และ เจริญขึ้นของกุศลและปัญญา คำสอนนั้น เป็นคำสอนของเรา แต่ธรรมใด ไม่เป็น
ไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อละกิเลส แต่เป็นไปเพื่อได้ เพื่อ
ติดข้อง ไม่รู้และไม่ทำให้เจริญขึ้นในกุศลและปัญญา คำสอนนั้น ไม่ใช่ คำสอนของเรา
ที่เป็นพุทธพจน์ พุทธวัจนะ ครับ
ซึ่ง พระสุตตันตปิฎก เป็นคำสอนที่แสดงถึงเรื่องราวที่แสดงกับบุคล แต่เป็นเรื่องราว
ที่ตรงตามความเป็นจริง ทำให้ผู้ฟังเกิดกุศลและเกิดปัญญา และ ละคลายกิเลส ดังนั้น
พระสุตตันตปิฎก จึงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพุทธวัจนะ พุทธพจน์ครับ
ส่วนพระอภิธรรม ก็แสดงเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจตามความเป็นจริง ว่ามีแต่ธรรม ไม่ใช่
เรา อันเป็นไปเพื่อละกิเลส คือ ความไม่รู้ และ เจริญขึ้นของปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อ
เป็นดังนี้ พระอภิธรรมก็เป็นพระพุทธพจน์ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่นกัน ดังเช่น
ที่พระพุทธองค์ทรงแสดว่า คำสอนใดเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส มีความไม่รู้และเจริญ
ขึ้นของกุศลและปัญญา เป็นคำสอนของเรา ดังนั้นการศึกษาธรรมจึงต้องเป็นผู้ละเอียด
รอบคอบในการศึกษาพระธรรม จึงจะได้สาระจากพระธรรม คือ ความเห็นถูก และ
ละคลายกิเลส ครับ
พระพุทธวัจนะ ที่เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นพระอภิธรรมด้วย หากไม่ศึกษา
พระอภิธรรมให้เข้าใจ ที่เป็นพุทธวัจนะแล้ว ก็จะเข้าใจธรรมส่วนอื่นผิดไปได้เช่น ศึกษา
พระสูตร พระวินัย อย่างเดียว ที่เป็นการแสดงโดยนัย สัตว์ บุคคล มีเรา มีเขา ที่กล่าว
โดยสมมติ เมื่อไม่ศึกษาพระอภิธรรมก็เข้าใจผิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ อันเป็นผล
มาจากการไม่เข้าใจพระอภิธรรม ครับ ดังนั้น การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือ การฟังเรื่อง
สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ที่ไม่ได้เป็นวิชาการเลย ขณะนี้ มี เห็น ได้ยิน คิดนึก โลภ
โกรธ หลง ไม่รู้ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ เป็นอภิธรรม ควรเข้าใจว่าเป็นธรรม ก็ชื่อว่า เป็น
การศึกษาพระอภิธรรม ก็จะเป็นประโยชน์ ต่อการเข้าใจในพระธรรมส่วนอื่นๆ ด้วย ครับ
เพราะ ถ้าไม่ศึกษาอภิธรรม ก็ไม่สามารถละกิเลส ที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ก็
ไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย ครับ พระธรรมทุกคำ มีประโยชน์ ควรค่าแก่การศึกษา
เพราะเป็นเหตุให้เกิดปัญญา
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
พระพุทธพจน์ [พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์]
ผู้คัดค้านพระอภิธรรม ได้รับผลอย่างไร
พระอภิธรรมเป็นคำสอนเรื่องสัจธรรม
พระอภิธรรมเป็นคำสอนที่ไม่มีผู้ใดแสดงได้
พระอภิธรรมที่เทศน์โปรดพุทธมารดา
ขออนุโมทนา ครับ
กราบขอบพระคุณค่ะ ท่านอาจารย์ ผเดิม
ขออนุญาติแชร์ในเฟสเป็นธรรมทานค่ะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
เกษ....
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธพจน์ พุทธวจนะ พุทธวัจน์ ๓ คำนี้ มีความหมายอย่างเดียวกัน
หมายถึง คำที่พระพุทธเจ้าตรัส คำพูดของพระพุทธเจ้า จะเห็นได้ว่าทุกคำ
ที่เป็นพระพุทธพจน์ เป็นพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น
เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรม ที่มีจริงๆ
ในขณะนี้ ซึ่งเป็นอภิธรรม ที่เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ปฏิเสธความเป็นตัวตนเป็นสัตว์
บุคคลอย่างสิ้นเชิง พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา
นับคำไม่ถ้วน ประมวลเป็นพระสุตตันตปิฎก บ้าง พระวินัยปิฎก บ้าง พระอภิธรรม-
ปิฎก บ้าง ทั้งหมด ก็ไม่พ้นไปจาก เพื่อให้เข้าใจถูกเห็นถูก ในสภาพธรรม ตามความ
เป็นจริง แม้จะทรงแสดงพระธรรม โดยนัยที่เป็นพระสูตร หรือ พระวินัย ก็ไม่พ้น
ไปจาก ความเป็นไปของธรรม ที่เป็นอภิธรรม จะประมวลว่า พระพุทธพจน์ทั้งหมด
เพื่อให้เข้าใจความเป็นอภิธรรมของสภาพธรรม ก็ได้ ดังนั้น พระอภิธรรม ก็เป็น
พระพุทธพจน์ด้วย เป็นพระธรรมคำสอน ที่พระองค์ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจความเป็น
จริงของสภาพธรรม ในขณะนี้
ส่วนใหญ่เวลาได้ยินคำว่า อภิธรรม แล้วกลัว กลัวว่าจะเรียนไม่ได้ แต่แท้ที่จริง-
แล้ว อภิธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ว่าเป็น
อภิธรรม ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากอภิธรรมเลย เห็น ได้ยิน
ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ความดี ความชั่ว เป็นต้น ล้วนเป็นธรรม
ที่มีจริง ที่เป็นอภิธรรม ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สำคัญที่การเริ่มต้น ด้วยการฟังด้วยการ
ศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไป
ทีละเล็ก ทีละน้อย การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องนั้น ต้องไม่ใช่แบบวิชาการ แต่เป็น
ไป เพื่อขัดเกลา ละคลายกิเลส มีความเห็นผิด ความไม่รู้ เป็นต้น
ซึ่งจะลืมจุดประสงค์นี้ไม่ได้ คือ อาศัยพระธรรมคำสอนที่เป็นพุทธพจน์ เพื่อจะได้
ขัดเกลาละคลายกิเลส ของตนเอง อบรมเจริญปัญญาสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป
พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด เป็นเรื่องของการละ
ตั้งแต่ต้น ถ้าคำสอนใดหรือหนทางไหน สอนเพื่อที่จะให้ได้ สอนให้ติดข้อง นั่นเท่า
กับว่าเป็นการเพิ่มสมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) คือความติดข้องต้องการ ไม่ใช่คำสอนของ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน รวมไปถึงสอนให้กระทำอะไร ด้วยความ
เห็นผิด ไม่รู้ หลงงมงาย นั่นก็ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น
เดียวกัน พระธรรมทั้งหมด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ต้องเป็นไปเพื่อ
รู้ และ ขัดเกลา ละคลายกิเลส เท่านั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว กว่าจะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมตรงตาม
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็ต้องเป็นการฟังด้วยการพิจารณาจริงๆ จึงจะสามารถ
รู้ในพระคุณ ที่ได้ทรงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียด โดยนัยประการต่างๆ ตลอด ๔๕
พรรษา ฟังแล้วก็ต้องฟังอีก แล้วก็ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรอง ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง
ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก การอบรมเจริญปัญญา ต้องเป็นไปตามลำดับ จริงๆ ที่สำคัญ
ที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุญาตนำเนื้อหาต่างๆ ไปเผยแพร่นะครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้ง 2 ค่ะ
ขอบคุณความคิดเห็นทั้งหมดค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ....