ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [5]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  24 ก.ย. 2556
หมายเลข  23685
อ่าน  1,453

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันเสาร์ ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา

ข้าพเจ้าได้ติดตามรับชมและรับฟัง การถ่ายทอดสด การสนทนาธรรม

จาก มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผ่านทางเวปไซต์ของมูลนิธิฯ

ตามลิงค์ //www.dhammahome.com/live

ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้จัดให้มีการถ่ายทอดสด ทุกๆ วันเสาร์ และ วันอาทิตย์

เป็นความเกื้อกูลในธรรม และ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของมูลนิธิฯ

สำหรับการเผยแพร่พระศาสนาในวงกว้าง เพื่อบุคคลที่สนใจในพระธรรม

สามารถรับชมและฟัง การถ่ายทอดสด การสนทนาธรรมจากมูลนิธิฯ ได้พร้อมๆ กัน

ในทุกๆ ที่ ทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถรับชมและฟังได้

โดยปรกติ ข้าพเจ้าจะเข้าไปฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในตอนเช้าของวันอาทิตย์

วันเสาร์ จะทำงานอยู่ที่บ้านและเปิดชมและฟังการสนทนาธรรมออนไลน์ไปด้วย

สำหรับวันเสาร์ ที่ ๒๑ กันยายน ที่ผ่านมา มีการสนทนาพระสูตร

เรื่อง กัปปปัญหา ที่ ๑๐

ว่าด้วยธรรม เป็นที่พึ่ง

ท่านอาจารย์กล่าวถึงความลึกซึ้งของคำว่า "ที่พึ่ง" ไว้อย่างไพเราะ จับใจข้าพเจ้า อย่างยิ่ง

เมื่อไปฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯในวันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์) จึงตั้งใจที่จะบันทึกภาพมา

เพื่อประกอบกับความบางตอน ของการสนทนาในวันเสาร์ ที่ได้มีความซาบซึ้งอยู่ในใจนั้น

มาฝากทุกๆ ท่าน เพื่อพิจารณาร่วมกัน ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก เพื่อประโยชน์เช่นเคย

(ปล. ความจริง ข้าพเจ้าตั้งชื่อกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย นี้

เพื่อแบ่งปันข้อความสั้นๆ และ ภาพถ่ายเพียงเล็กน้อย ที่ประทับใจ จากการฟังพระธรรม

หรือ เมื่อมีความซาบซึ้งใจ ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นไปในธรรม

เพื่อที่ทุกท่าน จะไม่ต้องใช้เวลามาก ในการอ่าน และ พิจารณา

แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นชักจะเริ่มยาวขึ้นๆ เช่นในคราวนี้ ขออภัยด้วยนะครับ

อยากจะให้ท่านได้รับความการสนทนาที่แสนไพเราะนี้ โดยครบถ้วน จริงๆ ครับ)

อาจารย์ธิดารัตน์ พระสูตรในที่นี้ ตรัสถึงความสูงสุด ความพ้นทั้งปวง

พ้นจากกิเลส พ้นจากวัฏฏะ แล้วก็เป็น "ที่พึ่ง"

"ที่พึ่ง" สูงสุด ก็คือ พระนิพพาน

แต่กว่าจะไปถึง "ที่พึ่ง" ที่สูงสุดขณะนั้น

"ขณะนี้" มีสภาพธรรมะ ที่เกิด แล้วดับ จะรู้ได้อย่างไร?

ก็คือ การอบรมเจริญปัญญา ที่จะให้รู้ถึงสภาพธรรมะ ที่เกิดขึ้น ดับไป

ก็อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เพิ่มเติม นะคะ

ท่านอาจารย์คะ ก่อนที่จะรู้ถึงว่า สภาพธรรมะนั้น เกิดแล้ว ดับไป

จะต้องค่อยๆ เข้าใจธรรมะขึ้น โดยลำดับอย่างไรคะ?

ท่านอาจารย์ แต่ละคำ ต้องไม่เผิน เวลาได้ยิน เช่น ได้ยินคำว่า "ที่พึ่ง"

"ที่พึ่ง" อยู่ไหน?

เห็นไหม? ยังไม่ไปไหนเลย

เพียงแค่ได้ยินคำว่า ที่พึ่ง แต่ความละเอียด ที่จะทำให้รู้ว่า

"ที่พึ่ง" คือ อะไร? และ "ที่พึ่ง" อยู่ที่ไหน?

ได้ยินคำว่า "ที่พึ่ง" ทุกคนรู้จัก ใช่ไหม?

พึ่ง เพื่อ พ้นภัย

ไม่ใช่พึ่ง เพื่อให้มีภัยไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น "พึ่ง" ก็คือว่า ให้พ้นจากภัยทั้งหลาย

"ที่พึ่ง" ได้ยินคำนี้ ก็ต้องหมายความว่า คำนี้มี ถ้าไม่มี จะพูดถึงทำไม?

แล้ว "อยู่ไหน?"

"ที่พึ่ง" ฟังมาตั้งนาน แล้วก็รู้ด้วย ที่พึ่ง ที่จะให้พ้นจากภัยทั้งหลาย

ภัยของการเกิดแล้วเกิดอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดแล้ว ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไป

นี่แหละ เป็นภัยอย่างยิ่ง

แต่ "ที่พึ่ง" อยู่ไหน?

ถ้าหาไม่เจอ พึ่งได้ไหม?

อ่านตำราทั้งเล่ม แต่ว่า หา "ที่พึ่ง" ไม่เจอ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร?

เดี๋ยวนี้ มี "เห็น" มี "ที่พึ่ง" หรือยัง?

ค่อยๆ เจอ ที่พึ่ง หรือยัง?

"ที่พึ่ง" อยู่ใกล้? หรือว่า "ที่พึ่ง" อยู่ไกล?

ต้องไปหา มาจากไหน? ถึงจะได้มาพึ่ง?

ในขณะนี้ ซึ่งเป็นธรรมะ ซึ่งเกิดแล้วดับ อย่างเร็วมาก

เพราะฉะนั้น ที่พึ่งจริงๆ ในขณะนี้ ที่กำลังเห็น อยู่ไหน? และ คือ อะไร?

มีไหม?

มี

หาเจอหรือยัง?

ไกล หรือ ใกล้? อยู่ไหน? ในขณะที่ "กำลังเห็น"

ไกล หรือ ใกล้? ในขณะนี้ ที่ "กำลังได้ยิน"

"ที่พึ่ง" อยู่ไหน? ในขณะที่ "กำลังคิด"

"ที่พึ่ง" อยู่ไหน? ในขณะที่ "กำลังจำ"

ไม่เจอที่พึ่ง ได้ยินแต่คำว่า "ที่พึ่ง" แต่หาที่พึ่งไม่พบ

ก็ยังไม่มี "ที่พึ่ง"

ที่พึ่งจริงๆ ก็คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

ซึ่ง ไม่เคยมี ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม

ไม่มีใครสามารถที่จะ เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มี

คือ เกิดมาแล้ว เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง โดยไม่มีที่พึ่ง

เพราะว่า ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ได้

ด้วยเหตุนี้ ที่จะกล่าวว่า ความเข้าใจถูก หรือ ปัญญา เป็นที่พึ่ง ก็คือว่า

"พึ่ง" ให้รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง

ซึ่งไม่สามารถที่จะพึ่งความคิดของตัวเอง

เพราะว่า ไม่มีปัญญา ที่สามารถจะเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "ที่พึ่ง" ก็เป็นคำที่ ลึกซึ้ง ที่จะต้องรู้ว่า

"พึ่ง" เพื่อ อะไร?

ไม่ใช่ทรัพย์สิน เงินทอง

ไม่ใช่เพื่อพึ่งผู้มีอำนาจวาสนา หรือว่า ผู้มีความรู้วิชาการต่างๆ

อย่างนั้น เป็นที่พึ่งหรือ?

แต่ "ที่พึ่ง" ที่แท้จริง ที่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะรู้ได้ว่า มีได้อย่างไร?

ที่พึ่ง คือ สามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง

โดยมี "พระธรรม" เป็นที่พึ่ง

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ที่พึ่ง ตอนอื่น

"กำลังเห็น" แล้วก็ไปหาที่พึ่งอื่น

"กำลังได้ยิน" ก็ไปหาที่พึ่งอื่น

แต่ "เดี๋ยวนี้" เอง ที่ "เห็น" มีอะไรเป็นที่พึ่ง?

มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง

ให้เข้าใจความจริงว่า "เห็น" เกิดแล้วดับไป

พึ่งแล้ว ใช่ไหม?

ไม่ยึดถือ ว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่เคยเข้าใจว่า "เราเห็น" มานานแสนนาน

แต่ กว่าจะรู้ความจริง มีการรู้ความจริง เป็นที่พึ่งว่า

"เห็นขณะนี้" ชั่วคราว เกิดแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

และ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี้ ก็ "เล็กน้อย" มาก

เพียงปรากฏ ทำให้เข้าใจว่า เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้

แต่แท้ที่จริง ก็คือว่า

เพียงปรากฏให้เห็น แล้วดับไป

เท่านั้นเอง!!!

ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ "ไม่มีที่พึ่ง"

เพราะว่า ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า แม้ว่าขณะไหนๆ ก็ตาม

การมีที่พึ่ง ก็คือว่า รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ

ถูกต้องไหม?

คนที่ได้ฟังธรรมะ ต้องไตร่ตรอง แล้วก็เป็นปัญญาของแต่ละคน แน่นอน

เป็นที่พึ่ง เป็นที่ๆ สามารถที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่มี

ซึ่งตลอดชีวิต ก็มี

แต่ไม่เคยรู้

เพราะฉะนั้น "พึ่ง" ต้องรู้ว่า

"พึ่ง" เพื่อสามารถที่จะทำให้เข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมี

เมื่อมีความเข้าใจแล้ว อยู่ที่ไหน ก็มีที่พึ่ง

เมื่อมีความเข้าใจ สิ่งนั้น

แต่ถ้า อยู่ที่ไหน ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

ก็คือ ไม่มีที่พึ่ง ที่จะทำให้ "มีความเห็นถูก" ว่า

แท้ที่จริง "สิ่งนั้น" เพียงมีปัจจัยทำให้เกิด แล้วดับไป "ไม่ใช่เรา"

ไม่ใช่ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง เลย

จะพึ่งความจริงนี้ไหม???

หรือว่า ไม่ต้องการรู้ ไม่มีประโยชน์

แต่ว่า อย่างไรก็ต้องตาย แล้วก็เกิดอีก

และ ขณะนี้ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่า เกิดมาเป็นคนนี้

แล้วเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็คือ ตาย

แต่ความจริง ตายทุกขณะ

"เห็น" ตายไหม? เพราะ อะไร?

เพราะ เห็น "เกิด" ถ้าเห็นไม่เกิด เห็นจะ "ดับ" หรือจะ "ตาย" ได้ไหม?

ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ขณะนี้เอง ไม่ต้องไปรอ จนกระทั่งถึงวันตาย

แล้วก็จะไปพึ่งอะไร ก่อนจะตาย

แต่สามารถที่จะเข้าใจ ความหมายของคำว่า

"ที่พึ่ง" คือ ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี

เพราะว่า "สิ่งนั้น" เพียง "เกิดขึ้น และ ดับไป"

ให้เข้าใจว่า "ไม่ใช่เรา"

ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง

แล้วจะพึ่งได้อย่างไร? ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

แต่ละภพ แต่ละชาติ ที่ผ่านมา มีที่พึ่ง หรือเปล่า???

เพราะเหตุว่า ไม่ได้รู้ความจริง

รู้ความจริงเมื่อไหร่ เป็นที่พึ่ง ขณะนั้น

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อมี "ที่พึ่ง" ให้เข้าใจความจริง

ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น

ทุกอย่าง ต้อง "ตั้งต้นให้ถูกต้อง"

ไม่ว่าได้ยินคำว่าอะไร ก็ต้องเข้าใจความจริงว่า ไปหาที่พึ่งที่ไหน?

ขณะนี้มีที่พึ่งได้ไหม?

ถ้าขณะนี้ยังไม่มีที่พึ่ง จะหาที่พึ่ง หรือ จะพบที่พึ่ง ก็คือว่า

รู้ว่า ที่พึ่ง คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก

เพราะเหตุว่า ไม่เคยเห็นถูกเลย ว่า

แท้ที่จริง ไม่เคยมีเรา แต่ไหน แต่ไร ก็ไม่มี

ขณะนี้ ก็ไม่มี ขณะต่อไป ก็ไม่มี

มีแต่ธรรมะ ซึ่งมีปัจจัย เกิดขึ้น และ ดับไป

พอใจที่จะพึ่งอันนี้ไหม?

หรือ พึ่งเพราะอยากได้ลาภ พึ่งเพราะอยากไม่ป่วยไข้?

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๙๓๖

กัปปปัญหาที่ ๑๐

(ว่าด้วยธรรมเป็นที่พึ่ง)

[๔๓๔] กัปปมาณพทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระ-

องค์จงตรัสบอกซึ่งธรรมอันเป็นที่พึ่งของชน

ทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำแล้ว

ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลาย ผู้อยู่ในท่ามกลาง

สาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่ฉะนั้น

อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอกที่พึ่งแก่ข้า-

พระองค์โดยอุบายที่ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกรกัปปะ เราจะบอกธรรม อันเป็นที่พึ่ง

ของชนทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำ

แล้ว ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้อยู่ในท่าม

กลางสาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่

แก่ท่าน ธรรมชาติไม่มีเครื่องกังวล ไม่มี

ความถือมั่น นี้เป็นที่พึ่ง หาใช่อย่างอื่นไม่

เรากล่าวที่พึ่งอันเป็นที่สิ้นไปแห่งชรา และ

มรณะว่านิพพาน ชนเหล่าใดรู้นิพพานนั้น

แล้ว มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้

แล้ว ชนเหล่านั้นไม่อยู่ใต้อำนาจของมาร

ไม่เดินไปในทางของมาร.

จบกัปปมาณวกปัญหาที่ ๑๐

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกอ่านตอนที่ผ่านๆ มาได้ที่นี่ครับ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [2]

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [3]

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [4]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ที่พึ่งจริงๆ ก็คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

ซึ่ง ไม่เคยมี ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปวีร์
วันที่ 25 ก.ย. 2556

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

ขอบคุณครับ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Patikul
วันที่ 25 ก.ย. 2556
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panasda
วันที่ 25 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ที่พึ่งจริงๆ ก็คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

ซึ่ง ไม่เคยมี ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ค่ะ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
asp
วันที่ 26 ก.ย. 2556

พระอรหันต์ที่ดับกิเลสหมดสิ้น เป็นสมุจเฉท แต่ยังไม่ปรินิพพาน ยังต้องมี

ที่พื่งหรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
napachant
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ch.
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาและขอบคุณคุณวันชัย ภู่งามอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kinder
วันที่ 27 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nopwong
วันที่ 28 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
raynu.p
วันที่ 28 ก.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
rrebs10576
วันที่ 29 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ