ผู้ที่รู้วิธีเจริญปัญญาแล้วหมั่นเจริญปัญญาหากนับถือศาสนาอื่นสามารถบรรลุธรรมขั้นต้นถึงขั้นสูงได้ไหม

 
tanaprasith
วันที่  26 ก.ย. 2556
หมายเลข  23698
อ่าน  1,613

มีโอกาสได้ทราบมาว่า วิปัสสนาหรือการเจริญปัญญานั้นเป็นของสากลไม่ขึ้นอยู่กับเพศ

วัย ชนชั้น วรรณะ เชื้อชาติ สีผิว ประเทศชาติ ถิ่นฐานที่กำเนิด สถานะทางสังคมหรือว่า

เศรษฐกิจของผู้ปฏิบัติ เพียงแต่มีที่มาที่ไปคือ พระศาสดาของศาสนาพุทธนั้นเป็นผู้ทรง

ค้นพบแล้วนำมาเผยแพร่ให้ชาวโลกผู้แสวงหาธรรมได้ศึกษาเรียนรู้แล้วปฏิบัติเพื่อ

ประโยชน์สูงสุดคือ การหลุดพ้น

สงสัยครับว่า สิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาแบบนี้ถือเป็นความเห็นที่ถูกต้องแค่ไหนเช่น

- สถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบางที ที่เปิดกว้างให้กับผู้คนที่ต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม

ต่างความคิด ต่างความเชื่อ ต่างขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ว่าจะมาจากสถานะใดกล่าว

ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนศาสนาเดิมของตนที่นับถืออยู่ หาพูดในมุมมองของ

ไตรสิกขาแล้ว ในศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธนั้น หลายๆ ศาสนาก็มีสิ่งที่คล้ายๆ กับ

"ศีล" "สมาธิ" อยู่แล้ว ผู้ที่สนใจวิปัสสนากรรมฐานมาปฏิบัติธรรมเพื่อเรียนรู้วิธีการรู้รูป รู้

นามตามความเป็นจริง รู้สภาพ สภาวะ ด้วยใจที่ตั้งมั่นเป็นกลาง ก็เพียงพอ แค่นี้ถือว่า

ได้เดิน"ปัญญา" ได้เดินไปบนเส้นทางอริยมรรคแล้ว

- หรือแม้แต่การฝึกฝนตนบางประเภทอย่างเช่น โยคะ นี่ถือว่าเป็นการเจริญปัญญาได้

ไหมครับ?

ผมสังเกตอย่างเรื่องศาสนา บางคน (ที่มีโอกาสได้คุยทั้งไทย และต่างชาติเช่น อินเดีย

หรือว่าซีกโลกตะวันตก) ก็มองว่าสากลไม่อยากให้มองว่าฉันนับถือศาสนานั้น เธอนับถือ

ศาสนานี้ เขาใช้คำว่า spiritual แทนคำว่า religion ก็มี

เขามองว่าจริงๆ แล้วความจริงก็อย่างเดียวกัน เพียงแต่ใครจะนับถือศาสนาอะไรตาม

ทะเบียนบ้าน ตามบัตรประชาชนนั้นก็อย่างนึงเท่านั้นเอง ก็เป็นมุมมองของคนอีกกลุ่ม

หนึ่งซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มศาสนาหรือว่าความเชื่อไหน

และก็มีข้อสังเกตประการหนึ่งครับว่า บางคนในกลุ่มนี้ หลายๆ เป็นคนมีความรู้ดี มี

ปัญญา มีตรรกะของตนระดับหนึ่ง อาจจะไม่ได้มีความรู้สึกทราบซึ้ง กตัญญู หรือว่าเห็น

พระมหากรุณาคุณของพระศาสดาเท่าใดนัก เขาอาจไม่ได้มีใจรัก โน้นนำ หรือว่าปลื้ม

ใจกับการสวดมนต์หรือว่าการกล่าวสรรเสริญถึงพระคุณของพระศาสดาเท่าใดนัก หลักๆ

แล้วเหมือนจะมองว่า สิ่งที่พระศาสดาประทานไว้คือ หลักการๆ หนึ่ง คำสอนอย่างหนึ่ง

ซึ่งเขาก็เลือกนำไปใช้มากกว่า ส่วนเขานำไปใช้ด้วยเป้าหมายใด ปรารถสิ่งใด ผมเองก็

ไม่ทราบเช่นกันครับ แต่ที่แน่ๆ คงได้ประโยชน์ในแง่ การมีสติ รู้ทุกข์ สงบ กิเลสคลาย

ตัวไป สมควรแก่ธรรมที่ปฏิบัติได้ ปฏิบัติถึงอะไรแบบนี้ อันเป็นผลจากการเจริญปัญญา

บางคน บางกลุ่มเชื่อว่า มีหลากหลายหนทาง เส้นทางที่นำไปสู่การหลุดพ้นเช่น โยคะ

มวยจีน ซึ่งเหมือนจะมีการเรียนรู้ ฝึกฝน เรื่องกายและใจเหมือนกันหรือว่าวิธีปฏิบัติ

อย่างอื่นๆ ภายใต้คำที่กล่าวขานกันว่าเป็น spiritual practise (ส่วนฝึกฝนแล้วไปได้

จริงหรือเปล่า ผมก็สงสัยมากๆ เหมือนกันครับ ไม่แน่ใจว่า ถึงที่ไหน ที่เดียวกับศาสดา

เราบอกหรือไม่ แต่ไม่ปฏิเสธคุณประโยชน์ว่าช่วยให้ใจสงบ ใจมีสมาธิ + ได้ประโยชน์

ในแง่การบริหารร่างกาย)

เอ หรือว่า เราไม่ควรติดรูปแบบติดฟอร์ม แพคเกจจิ้ง ภายใต้คำว่าการเจริญปัญญานั้น

กิจกรรมอะไรก็ตามที่ทำให้เราเจริญสติ รู้สภาพ สภาวะ แล้วค่อยๆ ฝึกฝนให้ใจตนเองให้

เป็นกลางได้นั้นถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่ต้องให้ความสำคัญกับชื่อศาสนาที่ตนนับถือก็ได้ เอา

ตัวที่เป็นแก่น เป็นแกน เป็นสาระไปปฏิบัติก็เพียงพอแล้ว

ปล เหมือนจะเคยทราบมาในสมัยพุทธกาลนั้น มีคนศาสนาอื่นเช่น พราหม์นั้นก็สามารถ

บรรลุมรรคผลได้ใช่ไหมครับ (สำเร็จได้สูงสุดขั้นไหน จำไม่ได้เหมือนกันครับ) เนื่องจาก

มีโอกาสสดับตรับฟังพระธรรมที่พระศาสดาสอน โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาเดิมของตน

ปล 2 เวลามีโอกาสได้ฟัง คนไทยบางกลุ่ม บางหมู่เหล่า คนต่างชาติตั้งมุมมอง ข้อสัง

เกต ดังรายละเอียดที่ผมกล่าวมาข้างตน ต่างคน ต่างมุมมองต่างความคิดในโลกใบนี้

ผมเลย งง พอสมควรครับว่าเราควรตั้งมุมมองไว้อย่างไรถ้าหากต้องไปให้ถึงที่สุดของ

ทางพ้นทุกข์ในกาลข้างหน้าเมื่อเหตุ ปัจจัยถึงพร้อม โดยไม่หลงทางในการเดินทางไกล

ไปเสียก่อน จากความเสี่ยงมากมายซึ่งหลายๆ อย่างมาจากเรื่องการทำความเห็นไว้

คลาดเคลื่อน และการไม่รับฟัง/เป็นผู้ที่สอนไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการไปเชื่อบางคน

บางความคิดเห็นแบบนี้เป็นต้น?

ผมฟังพวกเขาแล้วรู้สึกว่า เขาไม่อยากติดฉลากให้ตัวเองว่านับถือศาสนาอะไร เขาแค่

นำสิ่งที่มีเป็นพิเศษในศาสนาของเราคือ การเจริญปัญญาไปทำต่อเท่านั้นเอง ส่วนคำสอน

ด้านอื่นๆ หมวดอื่นๆ เช่น จริยธรรม การดำเนินชีวิต ผมเดาเอาว่าเขาอาจศึกษาในแบบ

พุทธอย่างหลวมๆ /หรือว่าศึกษาแล้วพิจารณาเลือกเชื่อ เลือกทำหรือไม่ทำตาม แต่ว่า

อาจจะมีคุณธรรม คุณงามความดีในแบบที่เขาเคยอบรมมาในศาสนาดั้งเดิมของตน

หรือว่าตามความคิดของตน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พุทธ หมายถึ งปัญญา ความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริของสัจจธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้น

ได้ โดยการฟังคำสอนที่ถูกต้อง คือ ฟังพระรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ศาสนา

พุทธ จึงหมายถึง คำสอนของผู้ที่มีญญา ตรัสรู้คามจริง และ กล่าวแสดงให้ผุ้อื่นได้รู้

ตามเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ปัญญา ไมได้เลือกเพศ ไมได้เลือกชาติ ศาสนา เพราะ

ปัญญา เป็นนามธรรม ทีเกิดกับจิต สัตว์โลกที่มีจิต และ สะสม ความดี ปัญญามา ก็

สามารถเกิดปัญญา ความเข้าใจถูกได้ เพราะ เชื้อชาติ ต่างๆ ก็เป็นการสมมติกันขึ้น

ว่า เป็นคนไทย เป็นชาวต่างประเทศ แท้ที่จริง จะมี คนไทย คนต่างประเทศได้ ก็

เพราะ มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก และ รูปนั่นเอง ที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ปัญญา

ก็เป็นธรรมที่เป็น เจตสิกที่เกิดขึ้นกับจิต ดังนั้น เมื่อทุกคน มีจิต เจตสิก ผู้ใดสะสม

ปัญญามา ผู้นั้นก็สามารถเข้าใจพระธรรม ถึงการบรรลุธรรมได้

หากแต่ว่า พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้จะไม่ต้องกล่าวว่าเราเป็นชาวพุทธ

นับถือศาสนาพุทธ หากแต่ว่า ควรเข้าใจว่า หนทางการดับกิเลส มีอยู่ทางเดียว

ไม่มีทางอื่น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่การที่จะไปแสวงหา หนทาง หรือ ทำ ปฏิบัติ โดย

ไม่ฟัง ไม่ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ ก็ย่อมปฏิบัติผิดเข้าใจผิดได้ เพราะ

ฉะนั้น การจะตรัสรู้ เข้าใจความจริงได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็น

สำคัญ เพราะ หากไม่ศึกษา คำสอนแล้ว ก็ย่อมคิดเอาเอง ตามความคิดของปุถุชน

ผู้ที่หนาด้วยกิเลสแ ละความไม่รู้ ก็ย่อมสำคัญผิดไปว่า การทำเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติ

ที่ถูกต้องเป็นทางที่ดับกิเลส แท้ที่จริง ไม่ใช่หนทางการดับกิเลสเลย ดั่งเช่น การ

เข้าใจเพียงเผิน แม้แต่การกล่าวว่า ศีล สมาธิ ทุกศาสนาก็มีอยู่แล้ว ขาดแต่ ปัญญา

ที่รู้ความจริง หากไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะสำคัญว่า ศีล

สมาธิ เหมือนกัน แท้ที่จริง ศีลที่เป็นกุศลก็มี ศีลทีเป็นอกุศลก็มี และ ศีลที่เป็นไป

เพื่อเกื้อหนุนต่อการเจริญปัญญาก็มี ศีลที่ไม่ใช่ เป็นไปเพื่อถึงการปฏิบัติ ถึงการมี

ปัญญาก็มี และ สมาธิ ก็มีทั้ง สมาธิที่ผิด ที่เป็นมิจฉาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ

มิจฉาสมาธิที่เป็น สมาธิที่ผิด เพราะ เป็นการทำ แล้ว ทำด้วยควาไม่รู้ คือ ได้แต่

ความนิ่ง แต่ ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย คอื ไม่เกิดความเห็นถูก อย่างเช่น ที่มีการไป

นั่งสมาธิกัน อย่างนี้ ก็ไม่ใช่ สมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ แ ต่ทรงติเตียน และ

สัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่ถูกต้อง ที่เป็นสมาธิที่เกิดพร้อมปัญญา โดยไมได้หมายความ

ว่าจะต้องไปนั่งเลย ตามที่คนโดยมากเข้าใจผิด แต่ ขณะนี้ มีสมาธิชั่วขณะที่เกิดขึ้น

ที่ เกิดพร้อมกับปัญญาได้ คือ ขณะที่รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ว่าเป็นแต่

เพียงธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น มี เอกัคคตาเจตสิกที่เกิดร่วมกับปัญญา ที่เป็นความ

ตั้งมั่นที่ถูกต้อง เพราะ รู้ความจริงด้วย จึงเป็นสัมมาสมาธิที่ควรเจริญและ พระพุทธเจ้า

ทรงสรรเสริญ จะเห็นนะครับว่า แม้แต่ คำว่า สีล สมาธิ หากไม่ศึกษา ไม่ฟังพระธรรม

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อย่างละเอียดรอบคอบ ย่อมเข้าใจผิดได้ และ ก็ประพฤติ

ผิด ย่อมไม่ถึงการปฏิบัติถูก และถึงการบรรลุธรรมได้เลย เพราะ ทำด้วยอกุศล ทำ

ด้วยความไม่รู้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ย. 2556

พระพุทธศาสนา ทีเป็น พุทธ ที่เป็นเรื่องของปัญญา จึงจะต้องมีความเห็นถูก ที่

เกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรมเป้นสำคัญ และ เมื่อปัญญาเจริญขึ้นแล้ว ก็ย่อมมี

ศรัทธา มีความเชื่อใน พระคุณของพระพุทธเจ้า หากว่า ในทางโลก มีคนใดที่

ช่วยเหลือเรา ให้เราได้ดี ให้เราดำเนินชีวิตในทางที่ถูก คนดี ย่อมสำนึกบุญคุณ

ย่อมเลื่อมใสในบุคคลนั้น ฉันใด ผู้ที่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า และ เกิดปัญญา

ความเห็นถูกแล้ว ก็ย่อมรู้คุณ มีศรัทธา เพราะ รู้ว่าเป็นคำสอนที่มาจาก ผู้ที่มีปัญญา

สูงสุด และ ช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์โลกที่มากไปด้วยอวิชชา ถูก หลังคา คือ กิเลส

ปกคลุม ไม่ให้รู้ความจริง และ ทำให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อเข้าใจ มีปัญญาเพิ่มขึ้น ความ

เลื่อมใส ก็เพิ่มขึ้น แตกต่างจาก ผุ้ที่ไมได้ศึกษาพระธรรม แต่ เข้าใจหนทางเอาเอง

และ ไปปฏิบัติ ที่สำคัญว่าเป็นการปฏิบัติถูก จึงไมได้เลือ่มใส ไม่นับถือ พระพุทธเจ้า

เพราะ เหตุว่า ไมได้รู้คุณ และ ไมได้เกิดปัญญาเข้าใจคำสอนได้ถูกต้องจริงๆ ดังนั้น

แม้จะไม่บอกว่าเรา เป็นศาสนาพุทธ แต่ ปัญญาทีเกิดจากความเห็นถูก ปัญญาของ

ตนเองนั่นแอง ที่แสดงถึงควาเมป็นศาสนาพุทธแล้ว แต่ แตกต่างจากผู้ที่กล่าวว่า

นับถือศาสนาพุทธ แต่ ไม่เข้าใจคำสอน ประพฤติในหนทางทีผิ่ด ปัญญญาไม่เกิด

อวิชชา เกิดแทน ก็ย่อมไม่ชือ่ว่า นับถือศาสนาพุทธ เพราะ ศาสนาพุทธ หมายถึง

ปัญญาทีเกิดขึ้นในจิตใจ และ ทำนองเดียวกัน แม้จะไม่กล่าวว่าตนเองเป็นศาสนา

พุทธ หรือ ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย หากแต่ว่า ประพฤติข้อปฏิบัติที่ผิด ปัญญา

ไม่เกิด ก็ไม่ชื่อว่า ปฏิบัติหนทางที่ถูกเลย ก็ย่อมชื่อว่า กำลังเจริญหนทางที่ผิด โดย

ไม่รู้ตัว และ ย่อมไม่ถึง หนทางการดับกิเลสได้จริงๆ

สัตว์โลกสะสมอุปนิสัย มาต่างกัน ทั้งสะสมความเห็นผิดมา และ สะสมความเห็นถูก

มา จะเห็นจากตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ที่ แม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก สามารถ

ช่วยสรรพสัตว์มากมาย ให้เกิดปัญญาของตนเอง แต่ก็มีอีกจำนวนมาก ที่มากกว่าด้วย

ที่ไม่สนใจพระธรรม และ ประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง แต่ เป็นการปฏิบัติด้วยความ

เห็นผิด และ นับถือในหนทางทีผิ่ด ข้อปฏิบัติทีผิ่ด ก็มีมาก ดังนั้น ก็เป็นธรรมดา ใน

สมัยปัจจุบัน ที่สัตว์โลก มีกิเลสมาก มีอวิชชามาก ก็ย่อมที่จะไม่สนใจพระธรรม ไม่

สนใจที่จะศึกษา แต่ ปฏิบัติเอง และ สำคัญว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง ครับ

พระธรรม ควาเมห็นถูก จึงไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ใดสะสมปัญญา สะสมความ

เข้าใจมา ก็ย่อมสนใจ ที่จะศึกษาพระธรรม และ ก็ประพฤติในหนทางที่ถูกต้อง ผู้ใด

สะสมความเห็นผิด ความไม่รู้ ก็สะสมที่จะไม่สนใจธรรมเลย หรือ แม้จะสนใจในการ

จะดับทุกข์ ก็ปฏิบัติในหนทางที่ผิด

ควรอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มจากตนเองให้มีความเข้าใจถูกของตนเองเป็นสำคัญ เรา

ไม่สามารถจะทำให้แผ่นดินเสมอกันได้หมด ด้วยมือของตนเองเท่านั้น แม้แต่

พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถจะช่วยได้ หากแม้เขาไม่มีศรัทธา ไม่มีปัญญาที่สะสมมา

ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเขาได้ ควรสะสมความเข้าใจของตนเอง คอื ปัญญาด้วยการ

ฟัง ศึกษาพระรรม อันเป็นหนทางเดียว ที่จะดับกิเลส ไม่มีหนทางอื่น ข้อปฺฏบัติอื่น

เมื่อเป็เนช่นนั้น ความเลื่อมใส ศรัทธา ก็ย่อมเพิ่มชขึ้น ตามปัญญาทีเพิ่มขึ้ จนใน

ที่สุด เกิด สติและปัญญา ที่รู้ความจริงในชีวิตประจำวัน ขณะนั้น เป็นอธิศีล ศีล

อันยิ่งที่เกิดพร้อมปัญญา มี อธิจิต ทีเป็น สมาธิที่เกิดพนร้อมปัญญา โดยไม่ต้อง

ไปนั่งสมาธิอย่างไรเลย และ มีปัญญาที่รู้ความจริง ทีเป็น อธิปัญญา ปัญญาอันยิ่ง

ย่อมถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ นี่คือ ความละเอียดของพระธรรมที่พระพุทธเจ้า

ทรงแสดง ครับ ซึ่งจะรู้ได้ด้วยการศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดประเสริฐที่สุดในโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก

ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์

ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ทรงแสดงสัจจธรรม

ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความ

เป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจาก

กิเลสได้ในที่สุด จึงเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิตคือความเข้าใจ

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจตาม

ความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมด

สิ้น ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว สังสารวัฏฏ์ก็จะ

ดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงธรรมโดยนัยใด

ทั้งพระสูตร พระวินัย และ พระอภิธรรม ก็ไม่พ้นไปจากให้พุทธบริษัทได้

เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เป็นปัญญาของตนเอง ไม่ได้ทรงสอนให้ผู้หนึ่งผู้ใด

ไปทำอะไรที่ผิดปกติ แต่ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง กำลังมีกำลังปรากฏ

ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา สะสมควมเข้าใจถูกเห็น

ถูกแล้ว มีความเข้าใจไปตามลำดับ เพียรก็เพียรถูก เพียรในการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรม ทุกอย่างย่อมถูกหมด เพราะคล้อยตาม

ความเข้าใจถูกเห็นถูกที่ค่อยๆ เจริญขึ้นนั่นเอง หนทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ค้นพบและทรงแสดงที่จะทำให้สัตว์โลกถึงความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส คือ

อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน

หรือ ด้วยความไม่รู้ เพราะถ้าเริ่มต้นด้วยความไม่รู้ แล้ว จะเพียร (ผิด) ไปเท่าไหร่

ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้ นอกจากจะเพิ่มกิเลสให้ตนเอง อย่างเดียว

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่สาธารณะกับทุกคน ต้องเฉพาะ

ผู้ที่สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อน เห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว จึงมี

โอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ซึ่งมีเป็นส่วนน้อยมาก

เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา

แต่ละคนก็มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม สะสมมาทั้งส่วนที่ดีและส่วน

ที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าจะเคยมีความเห็นผิดมาก่อน แต่เพราะเคยสะสมเหตุทีดีมา

เคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้วในอดีต ก็จะผันให้ผู้นั้นมีโอกาสได้ฟัง ได้

ศึกษาได้สะสมปัญญาและได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง

แสดง เพราะฉะนั้นแล้ว ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง ที่จะเป็เครื่องป้องกันไม่ให้ตก

ไปในฝ่ายผิด เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความที่แสดงถึงผู้ที่เคยมีความเห็นผิดมาก่อน

แต่ก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ได้ที่นี่

เกื้อกูลให้พ้นจากความเห็นผิด [ขุททกนิกาย ชาดก สุวรรณมิคชาดก]

ล้างบาปด้วยการลงอาบน้ำได้หรือไม่ [ปุณณิกาเถรีคาถา]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 26 ก.ย. 2556

ไม่ว่าชนชาติไหน รวยหรือจน ถ้าสนใจศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า สะสมบุญ

บารมีมาพร้อม ก็สามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพานได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 27 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 29 ก.ย. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ