ฟังพระอภิธรรมพื้นฐานมาถึงตอนที่592 เกี่ยวกับรูปูปาทานขันธ์
ฟังพระอภิธรรมพื้นฐานมาถึงตอนที่592 เกี่ยวกับ "รูปูปาทานขันธ์"หมายความถึง
การติดข้องในรูปต่างๆ ทั้งทวารทั้ง5ใช่หรือไม่อย่างไรครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปูปาทานขันธ์ มาจากคำว่า รูป อุปาทาน และ ขันธ์ ก่อนอื่นก็ค่อยๆ เข้าใจธรรม ทีละคำ ครับ
รูป (สภาพที่แตกดับ, สภาพที่ไม่รู้อารมณ์) + ปรมตฺถ (สิ่งที่มีจริง) สิ่งที่มีจริงคือ รูป หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อารมณ์และแตกดับเสื่อมสลายได้ด้วยปัจจัยที่เป็นข้าศึก มีความร้อน ความเย็น เป็นต้น รูปธรรมจึงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม แต่สภาพธรรมใดไม่รู้อะไรเลย ชื่อว่ารูปธรรม เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เหล่านี้ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ใใครจะด่า ว่า รูปเหล่านี้ รูปไม่รู้อะไรทั้งสิ้นครับ รูป ธรรมมีทั้งหมด 28 รูป ครับ
อุปาทาน และ ขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ต่างก็เป็น ทุกข์ เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ และควรทราบว่า ขันธ์ และอุปทานขันธ์ ต่างกัน ตรงที่ว่า ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นขันธ์ แต่กิเลสที่เข้าไปยึดขันธ์ ๕ นั้น เป็นอุปาทาน ดังนั้น อุปาทานขันธ์ คือขันธ็ที่เป็นที่ยึดถือหรือขันธ์ที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน และอีกนัย หนึ่งคือ ขันธ์ที่เกิดจากอุปาทาน เป็นอุปาทานขันธ์ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ล้วน เป็นธรรมที่มีจริงทั้งนั้น ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ สำหรับสภาพธรรมที่ยึดถือขันธ์ คือ โลภะ และ ความเห็นผิด
รูปูปาทานขันธ์ จึงหมายถึง รูปทุกรูปที่เป็นที่ตั้งของความยึดถือ ก็คือ รูปที่ปรกาฎ ทางตา ทาง หู จมูก ทางิ้น ทางกาย เช่น สี เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ครับ ซึ่ง รูปทั้งหลาย เป็นที่ตั้งของความยึดถือของโลภะ ที่ติดข้องในรูปต่างๆ มากมาย และ สละได้ยาก นอกเสียจากปัญญาเท่านั้น ที่จะค่อยๆ ละ สละความยึดถือในรูป และ ไม่ใช่เฉพาะในรูปเท่านั้น นาม ก็ติดข้องมาก ทั้ง ใน เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ หนทางเดียว คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่ค่อยๆ อบรมในหนทางที่ถูกต้อง ย่อมสามารถละความยึดถือได้ตามลำดับ แต่ต้องอบรม อย่างยาวนาน ครับ
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
รูปูปาทานขันธ์ คือรูปที่สละได้ยาก
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูำกเห็นถูก
อย่างแท้จริง และสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงนั้น มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะทรงแสดง
ถึงเรื่องใดก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แม้แต่ในเรื่องของรูปูปา-
ทานขันธ์ หมายถึงรูปขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ รูปมีจริงๆ และความ
ยึดมั่นถือมั่้นในรูปก็มีจริงๆ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
-มีคำถามที่มีคนถามว่า แล้วทำไมต้องพูดเรื่องรูป มีความสำคัญอะไร
- รูป หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่ง
ปรากฏให้เห็นได้ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีจริงๆ แต่สิ่งนั้นไม่รู้อะไรเลย เพียงมี
จริง ปรากฏเมื่อมีจิตเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่ก็คือรูปๆ หนึ่ง
เสียงก็มีจริง เกิดปรากฏเมื่อจิตได้ยินเกิดก็ปรากฏเสียง แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น
ตลอดชีวิตก็มีรูป ไม่ใช่มีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นนามธาตุหรือนามธรรม แต่แม้สิ่งใดที่
มีจริง เช่น รูป ก็สมควรจะรู้ เพราะว่าเราติดข้องในรูปหรือเปล่า ด้วยความไม่รู้ว่า เป็น
เพียงธรรมที่ปรากฏแล้วหมดค่ะ เมื่อวานนี้เห็นอะไร เมื่อกี้นี้เห็นอะไร ตามความเป็นจริงก็
คือ สิ่งนั้นเกิดกระทบจักขุปสาท คือ ตา แล้วก็มีจิตเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
นี่คือธรรม ที่ต้องพิจารณาจนเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นความจริงอย่างนี้ และความเข้าใจ
สิ่งนี้ในวันนี้ ก็คือตามที่ได้ฟัง และอบรมไปเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าคลาย
ความติดข้อง เพราะเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีรูปที่ตัวแน่ๆ ที่เราบอกว่า “ร่าง
กาย" แต่ถ้าจะกระทบสัมผัสดู ก็จะเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง
ไม่ว่าจะกระทบวันไหน เมื่อไร เวลาใด จะมืดหรือสว่าง เวลากระทบกายที่เป็นรูป ก็เป็น
สิ่งที่เพียงอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เป็นธาตุซึ่งมีจริง ไม่ใช่แต่ที่ร่างกาย ที่
อื่นก็มีธาตุชนิดนี้ แต่เวลาที่ธาตุชนิดนี้เกิดที่เราเรียกว่า เป็นรูปร่างกาย ก็เหมือนกับว่า
เป็นร่างกายของเรา แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ เพื่อที่จะรู้ความจริง ก็คือว่า รูปทุกรูปเกิดแล้ว
ดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เวลานี้รูปใดปรากฏคะ มีหรือเปล่าคะที่กาย มีรูปใดปรากฏ
ไหมคะ ถ้ามี เพราะรูปนั้นเกิดแล้วก็ดับ แล้วรูปอื่นที่ว่าเป็นกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรด
เท้า ทำไมไม่มี ในขณะที่เพียงแข็งปรากฏ ตับ ปอด หัวใจ แขน ขา ศีรษะ มือ เท้า ก็ไม่
ได้ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือ เฉพาะรูปใดที่ปรากฏ แสดงว่ารูปนั้นมีลักษณะ
อย่างนั้นเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่าเพียงเท่านั้นเอง ที่เคยเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก็ชั่วขณะ
ที่รูปนั้นปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็ดับไป
ความลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า รูปที่เราเห็นว่า ใหญ่โต เป็นแขนบ้าง เป็นขาบ้าง
ก็คือหลายๆ รูปประชุมรวมกัน ไม่ใช่รูปเดียวเลย เพราะว่ารูปเดียวสามารถจะรู้ว่า เล็กแค่
ไหน โดยที่มีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นแต่ละรูป แต่ละกลุ่ม แต่
ละกลาป ในภาษาบาลี ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็กำลังทยอยกันเกิด
ทยอยกันดับ โดยไม่มีใครรู้เลยทั้งสิ้น
นี่คือจำเป็นต้องกล่าวเรื่องรูป เพื่อให้เห็นความจริงซึ่งไม่ใช่สาระ เพราะเป็น
เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่รูปก็ยังเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น จิตไม่ได้เกิดนอกรูป
เลย ถ้ารูปนี้ไม่มีจิต ลองคิดดูค่ะ ทุกคนรู้สภาพของรูปซึ่งไม่มีจิต ใช่ไหมคะ เมื่อตายแล้ว
รูปก็เคลื่อนไหวไม่ได้ พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ เป็นรูปจริงๆ เหมือนยังไม่ตาย รูปจริงๆ ก็ไม่
สามารถจะทำอะไรได้เลย ถ้าไม่มีจิตที่เป็นปัจจัยทำให้รูปนั้นเคลื่อนไหว
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างละเอียด ชั่วขณะที่แสนสั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่า แม้
แต่ ๑ รูป กลาปเดียวนั้นก็เป็นที่เกิดของจิต เช่น เห็นขณะนี้ก็ต้องมีรูปที่สามารถกระทบ
สิ่งที่ปรากฏทางตา เล็กแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นที่เกิดของจิตเห็น
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เราไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักรูปธรรม ไม่รู้จักนามธรรม
จนกว่าจะได้ฟังความละเอียดยิ่ง ค่อยๆ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก.
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...