ข้อความเตือนสติเรื่อง ปฐมทานสูตร
ขอเชิญคลิกอ่านพระสูตร..
ข้อความเตือนสติจากชั่วโมง สนทนาพระสูตร
๑. การให้ด้วยความหวัง
ทานในบุญกริยาวัตถุ แสดงถึงการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน หรือ แม้คำพูดที่น่าฟังก็มาจาก จิตใจที่อ่อนโยน หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่นเช่นกัน ส่วนการให้ด้วยความหวัง ก็เหมือนกับการซื้อของ ย่อมไม่ใช่ทาน เช่น ให้ของผู้อื่น เพื่อหวังว่าเขาจะทำดีแก่เรา เป็นต้น
๒. ได้ประโยชน์จากการฟังธรรมจริงหรือไม่?
ถ้าฟังธรรมแล้ว คิดจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ฟังว่าให้ทานประเภทใดให้ผลมาก ก็จะทำตามนั้น เป็นต้น นั่นเป็นการฟัง “เพื่อตัวเรา” ไม่ใช่การฟังธรรม “เพื่อรู้ เข้าใจถูกว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม”
๓. ขณะที่ให้เป็นกุศล หรือ อกุศล?
จะทราบว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล เป็นเรื่องของสภาพจิต ที่บุคคลอื่นรู้ไม่ได้ (ดูผู้อื่นจากภายนอก แล้วบอกว่าเป็นกุศล หรืออกุศลไม่ได้) เป็นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ เช่น ภายนอกเหมือนเป็นการให้ แต่ภายในเป็นความหวัง เป็นต้น ก็เป็นเรื่องของจิต แต่ละขณะ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจธรรม เข้าใจลักษณะของจิต ก่อนที่จะทราบความเป็นกุศลหรือ อกุศล ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้ามไม่ได้ (ปัญญาเพียงขั้นฟัง เข้าใจเรื่องราวของธรรม ไม่สามารถข้ามไปรู้ ลักษณะของกุศลจิต หรือ อกุศลจิตที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ได้)
แม้ขณะที่ให้แล้ว บอกว่า “ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่ให้แล้วสบายใจ”ขณะนั้นหวังความสบายใจหรือไม่?
๔. การฟังพระธรรม การพิจารณาตรงความจริง
กำลังฟัง และก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็เริ่มที่จะเข้าใจถูกขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ว่า “สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ขณะนี้ คือ สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้”และทรงแสดงความละเอียดทั้งปวง จนถึงที่สุด คือ เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัย เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
ฟังจนกว่า การเข้าใจจะน้อมมาสู่ การเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏใน ขณะนี้ ไม่ลืมว่า “ทุกอย่าง คือ ธรรม” (แล้วกี่อย่างแล้วที่เป็นธรรม? หรือว่ามีบ้างไหมที่เป็นธรรม?)
“ไม่มีใครทำ แต่ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นทำกิจการงานของสภาพธรรมนั้นๆ ”
๕. สมถภาวนาคืออะไร? เดี๋ยวนี้สงบบ้างไหม?
สมถภาวนาคืออะไร?
สมถภาวนา คือ ขณะที่ไม่มีอกุศลเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีแต่ใจที่สงบมั่นคงที่อารมณ์ที่ทำให้จิตสงบ
เดี๋ยวนี้สงบบ้างไหม? (ยกตัวอย่าง เช่น ขณะที่ฟังธรรม)
ขณะที่ฟังธรรม ก็ไม่ได้มีเพียงเสียง การเข้าใจความหมาย และการเข้าใจธรรมเพียง อย่างเดียว ซึ่งแม้ว่าขณะที่ฟังเข้าใจธรรมขณะนั้นสงบ แต่ก็ยังมีการเห็น การได้ยิน (อื่นๆ อีกมาก ซึ่งไม่เฉพาะเสียงของธรรม) “แค่เพียงเห็นหรือได้ยินแล้ว ไม่รู้ความจริง ก็ไม่สงบแล้ว” เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังธรรม คือ เข้าใจจริงๆ เป็นผู้เห็นอกุศลละเอียดยิ่งขึ้น รู้ว่าถ้าไม่มีการสงบจากอกุศลด้วยกุศล เรื่องที่สมถภาวนา หรือ วิปัสสนาภาวนา จะเกิดขึ้นคือจิตจะสงบ จนกระทั่งไม่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือการรู้ลักษณะของสภาพธรรม “เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
๖. ข้อความเกี่ยวกับอกุศล และกุศล
อกุศลนำมาซึ่ง สิ่งที่ดีงามไม่ได้เลย ถ้าเป็นกุศล ก็เป็นสภาพธรรมที่อ่อนโยน เป็นมิตร หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น กว่าจะสามารถละคลายอกุศล จนกระทั่งดับได้เป็นสมุทเฉท ตามลำดับ ต้องเป็นไปได้ด้วยความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ไม่ใช่ความหวัง
๗. ถ้าให้ทานแล้วหวัง แล้วจะเป็นอย่างไร?
ถ้าให้ทานแล้ว ก็ยังหวังซึ่ง ชื่อเสียง สิ่งตอบแทน เป็นต้น ก็เป็น“ทาสของโลภะ” ความเป็นตัวตน เป็นเรา แต่ “พระธรรมทั้งหมด เพื่อสละ” ละความติดข้องทั้งหมด ละอกุศล จนกระทั่งละกุศลด้วย (ถึงที่สุดคือโสภณกริยาจิตของพระอรหันต์ พระอรหันต์มีการได้รับผลของกรรม คือ มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น แต่ไม่มีปัจจัยให้อกุศลหรือกุศลเกิดขึ้นอีก จิตของพระอรหันต์ มีเพียง ๒ ชาติ คือ วิบากกับกิริยาเท่านั้น)
๘. วัตถุประสงค์ของการฟังธรรม
ฟังธรรม เพื่อ เข้าใจธรรม
ชีวิตประจำวันเจ้าเรือน คือ โลภะ มีน้อยที่แขก คือ กุศลธรรม เช่น สัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น จะมาเยี่ยมเยือน เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อ“เห็นโทษของอกุศล เปลี่ยนจากอกุศลให้เป็นกุศล และป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น” ด้วยปัญญา ความเข้าใจ ที่ประดับตกแต่งจิตที่เห็นโทษภัยของอกุศล สามารถรู้ตามความเป็นจริง สามารถเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น จนกระทั่งสละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน (ซึ่งยากยิ่งกว่าการสละวัตถุ) บางคนอยากอ่านพระไตรปิฎก อยากรู้เรื่องราวของธรรม มากๆ แต่ต้องไม่ลืมว่า ทั้งหมด คือ "เพื่อรู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ"
การฟังเข้าใจยังไม่เพียงพอ แต่ต้องรู้ตรงกับสิ่งที่เข้าใจด้วย ฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังว่า มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นธรรมที่ใครบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเพราะเหตุ ปัจจัย แล้วก็ดับไป ทั้งหมดเพื่อให้ “คลายการติดข้องในความเป็นเรา หรือในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด” (เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม)
๙. กำลังถูกลวงอยู่หรือไม่?
ที่ปรากฏว่าเป็นเรื่องนั้น เรื่องนี้มากมาย แต่ความจริง คือ “สภาพธรรมที่มีจริง” ตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติ มีปัจจัยเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไปอย่างรวดเร็วถูกลวงอยู่ตลอดทั้งชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ว่ามียศฐาบรรดาศักดิ์บริวาร ทรัพย์สมบัติ แท้ที่จริง “ไม่มีอะไรเลย มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป”
ถูกลวงทุกครั้ง ที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนกว่าจะมีความเห็นถูก รู้จริงว่าเป็นแต่เพียงธาตุ เกิดเป็นไปตามธาตุนั้น และ ไม่กลับมาอีกเลย
๑๐. ประโยชน์จากทานสูตร
เมื่อศึกษา เรื่อง การให้ ก็ควรทราบว่า การให้สูงสุด ก็คือ เพื่อขัดเกลา เพราะเห็นโทษของอกุศล จึงให้เพื่อสะสมการสละ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอฟังแล้ว จะให้อย่างนี้ การให้ประเภทใด ก็เป็นสภาพจิตที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งทั้งหมด คือ เพื่อให้เห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องว่าเป็นอนัตตา
“กุศลเท่าไรก็ไม่พอ เพราะอกุศลมากมายเหลือเกิน” เดี๋ยวนี้ก็เป็นอกุศลแล้ว เกิดเป็นกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นอกุศลมากมายนับไม่ถ้วน มีอกุศลประเภทต่างๆ เช่น เห็นแล้วก็ติดข้องแล้ว เป็นต้นเมื่อเทียบกับ กุศล เช่น การให้ เป็นต้น แล้วเทียบกันไม่ได้เลย (พระธรรม) ทั้งหมด เพื่อคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่ถูกหลอกว่าเป็นเรา (ถูกหลอกโดยสภาพธรรมที่เกิดดับ สืบต่ออย่างเร็ว ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน แต่ไม่เข้าใจความจริง จึงติดข้อง) จึงจะได้ไม่ถูกหลอก