ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๔

 
khampan.a
วันที่  27 ต.ค. 2556
หมายเลข  23927
อ่าน  2,281

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๔]

--- เห็นกำลังของกิเลสไหม ความดีแท้ๆ ของคนอื่นสรรเสริญไม่ได้ กล่าวไม่ได้ กิเลสอกุศลทำให้ปกปิดความดีของคนอื่น แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของคนอื่น จะกล่าวอะไรถึงไม่ถูกถาม แม้ถูกถามก็ไม่เปิดเผยความดีของผู้อื่น

--- ตระหนี่จริงๆ ในการที่จะสรรเสริญความดีของบุคคลอื่น ขณะนั้นต้องเป็นกิเลส อกุศลแน่นอน เป็นลักษณะของสภาพธรรมชนิดหนึ่งสะสมมา มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น อย่างนั้น ในขณะนั้นขัดขวางไว้ เหมือนกับความตระหนี่ บางทีตั้งอกตั้งใจว่า จะให้ ถึงเวลาจริงๆ ทำไมไม่ให้ เกิดขึ้นแล้วความตระหนี่สะสมมาแล้วที่จะเกิดก็เกิด

--- ความเสียหายของคนอื่น เขาอยากจะให้คนอื่นรู้ไหม? ไม่อยาก น่าเห็นใจไหม เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาดในความพลั้งพลาดของบุคคลนั้น ก็ไม่ควร ที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ว่าควรที่จะได้ช่วยให้เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติ ในสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่ควรอย่างไร แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงความเสียหาย ของบุคคลนั้นให้คนอื่นรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นก็เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นความเห็นใจ เป็นกุศลจิตในขณะนั้น

ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นสัตบุรุษ แต่แม้ผู้ที่สงบ ขณะที่สติเกิด ปัญญารู้

สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นครั้งคราว ก็เป็นสัตบุรุษได้ คือ ผู้ที่เว้นจาก

กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตในขณะนั้น

วาจาจึงเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวัง ให้เกิดหิริโอตตัปปะ การที่สามารถจะละเว้น

วจีทุจริตได้ตามกำลังของสติปัญญาที่สามารถจะระลึกรู้ได้ว่า ในขณะนั้นคำพูด

ที่ไม่ดีเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะอกุศลจิต และคำพูดใดสามารถที่จะเว้นได้ก่อน

เช่น มุสาวาท ควรเหลือเกินที่จะไม่กล่าวเลย เพราะเหตุว่าทำให้บุคคลอื่นเสีย

ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น

ถ้าสามารถจะระลึกรู้ถึงวจีทุจริตประการอื่น เช่น พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ

พูดเพ้อเจ้อ ก็จะทำให้สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้ชัดในสภาพธรรมที่

ทำให้กล่าววาจาอย่างนั้น จนถึงการที่จะดับวจีทุจริตประการนั้นๆ ได้อย่างเด็ดขาด

ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า อย่าให้เข้าใจสภาพธรรมผิด คลาดเคลื่อน จะใช้คำพูด

ตามภาษาของชนบท หรือภาษาที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจธรรมได้ถูกต้องตรงตาม

ความเป็นจริง นั่นก็เป็นจุดประสงค์ของการแสดงธรรม หรือว่าการกล่าวธรรม

แต่ถ้าใช้คำที่ทำให้คนอื่นเข้าใจสภาพธรรมผิด ก็ควรที่จะแก้ แล้วก็พยายามที่

จะใช้คำให้ผู้อื่นสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง เพื่อที่จะ

ได้ไม่เห็นผิด เข้าใจสภาพธรรมคลาดเคลื่อนไปจากลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

ผู้ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ ก็คือผู้ที่สะสมการไตร่ตรอง การพิจารณาเหตุ

ผลถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเป็นอุปนิสัยมาแล้ว จึงสามารถที่จะได้รับ

ประโยชน์เต็มที่จากการฟังธรรม

ถ้าพิจารณาว่า วันหนึ่งๆ อกุศลเกิดมากกว่ากุศล แสดงว่าเป็นผู้ตรงมาขั้นหนึ่ง

แล้วยังต้องคิดแก้ไขตนเองด้วย และยังต้องตรงต่อไปที่จะว่า ไม่ควรเลยที่จะ

ปล่อยให้เป็นอกุศลเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะสิ้นชีวิตไป ลองคิดถึงอกุศล

ในวันหนึ่งซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ได้ส่วนกับกุศลเลย แล้วจะเป็นอย่างไร นั่นก็

หมายความว่า เป็นผู้เต็มไปด้วยอกุศลต่อไป

ในแต่ละวัน กุศลจิตเกิดน้อยมาก เทียบส่วนกับอกุศลจิตไม่ได้เลย

ยิ่งถ้ามีความประมาทในชีวิตแล้ว ก็ยิ่งจะเกื้อหนุนต่อการที่จะทำให้อกุศล

เกิดเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ละคนเหลือเวลากันอีกไม่มากแล้วที่จะมีชีวิต

อยู่ในโลกนี้ เพราะชีวิตสั้นมากจริงๆ

การเกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม ย่อมเป็นผลของกุศลกรรม

และรู้ได้ว่า บุญญกิริยาวัตถุ เป็นมนุษยธรรม เพราะฉะนั้น ขณะใดที่มีการพิจารณา

ถึงชาติ คือ การเกิดเป็นมนุษย์ ในขณะนั้นก็เป็นเหตุที่จะทำให้ละการกระทำทุจริต

เพราะเห็นว่าการกระทำทุจริต การทำชั่ว เป็นการกระทำที่ต่ำทราม ไม่ใช่เป็น

ธรรมของมนุษย์ เมื่อระลึกได้อย่างนี้ ก็จะไม่ทำทุจริต ไม่ล่วงศีล

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น สั้นมาก ไม่ยั่งยืนเลย เป็นที่พักชั่วคราวจริงๆ

เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ก็ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น พักเพียงชั่วคราว

แล้วก็ต้องไปต่อ ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ มีการเกิดอยู่ร่ำไป ตราบใด

ที่ยังไม่หมดกิเลส ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั่นเอง

ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรม เท่านั้น

วันหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน อกุศลจิตเกิดมากเป็นพื้นอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้

ฟังพระธรรม กิเลสอกุศลมีแต่จะหนาแน่นเพิ่มขึ้นทุกวันๆ แต่เมื่อมีความเข้าใจ

พระธรรมเพิ่มขึ้นๆ จากการฟังพระธรรม ย่อมจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของ

กุศลธรรม ขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ดังนั้น จึงควรอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ

สะสมความรู้ ความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

อย่างตั้งใจ และมีความจริงใจในการศึกษาว่าศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก

ศึกษาเพื่อละ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น

ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธแล้ว ต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรง

ตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไปหาทางลัด ด้วยการไปทำ

อะไรที่ผิดปกติ ไปปฏิบัติผิดด้วยความเป็นตัวตน มีความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่

หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง

เมื่อปัญญาเสื่อมไปแล้ว กุศลธรรมประการต่างๆ ก็พลอยเสื่อมไปด้วย

เป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นเหตุทำให้การประพฤติ

ปฏิบัติผิดไปด้วย ทำให้เกิดในอบายภูมิ อันจะเป็นเหตุตัดรอนไม่ให้กุศลธรรม

และปัญญาเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

ความเพียรที่เป็นไปกับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา

พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกๆ ประการ เป็นความเพียรที่ควรประกอบ ควรอบรมให้มี

ขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะคล้อยไปสู่การดับกิเลสได้ในที่สุด

ชีวิตจะยาวหรือสั้น ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ได้มีความเข้าใจพระธรรม

อะไรที่มีจริง ไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้

แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้

อะไรเลย)

จะชำระจิตให้สะอาดปราศจากอกุศล ก็ต้องด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก

ตรง ตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า ธรรม

การฟังพระธรรม เป็นไปเพื่อละ ถ้าไม่รู้ ก็ละไม่ได้

คิดธรรมเอาเองเมื่อใด ก็ผิดเมื่อนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่มี

จิรงๆ ในขณะนี้ได้เลย

ความจงใจที่จะไม่ทำไม่ดี มีไหม เพราะเห็นโทษของการกระทำทุจริตกรรม

ประการต่างๆ

คำไม่จริง เบียดเบียนคนอื่นไม่ให้เข้าใจความจริง เบียดเบียนความจริง

และที่สำคัญเบียดเบียนพระดำรัส (คำพูด) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย

เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็ต้องฟังพระธรรมต่อไป ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้.

(ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความย้อนหลังครั้งที่ ๑๑๓ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๓

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- เป็นหน้าที่ของธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม สะสมความไม่รู้มามาก จะให้รู้เร็ว

ไม่ได้ เพราะปัญญายังน้อย ต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจว่าธรรมคือะไร ไม่มีใคร

ปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติหน้าที่ในขณะที่เข้าใจ อดทนที่จะฟังและเข้าใจความจริงว่า

เป็นธรรม แม้ขั้นการฟัง นี่คือ หนทางดับกิเลส

- การที่เรามีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมากขึ้นทำให้เรารู้ความจริงของชีวิตซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ความจริงซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พากเพียรอบรมพระปัญญาบารมีที่ถึงพร้อมแล้วเท่านั้น จึงสามารถค้นพบได้จึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะคาดคะเน และพยายามจะเข้าใจได้เอง โดยไม่ศึกษาความจริงซึ่งยากจะมองเห็น ละเอียด ลุ่มลึก และยากจะเข้าใจ แต่เป็นความจริงที่ผู้ใดได้สนใจศึกษาจนมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว จะรู้ด้วยตนเองว่าพระธรรมนี่เอง คือ คำตอบของชีวิต ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในพระธรรมโดยเห็นว่าพระธรรมเป็นของง่าย ไม่จำเป็นต้องศึกษาก็สามารถจะเป็นคนดีมีปัญญาได้

- ผู้ที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน

โอกาสที่จะมีความเห็นผิด ก็ย่อมสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ แล้วแต่ว่าจะมีมาก

หรือ มีน้อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

เป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล) ขณะที่ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ย่อมเป็น

ความเข้าใจถูก เริ่มที่จะมีความเห็นถูกแทนความเห็นผิด จนกว่าจะมีความเข้าใจ

เพิ่มขึ้นๆ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญาอย่าง

แท้จริง

- เมื่อศึกษาจนเกิดความเข้าใจขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จะเป็นผู้ที่ละเอียด ตรง

มั่นคง ศึกษาไปเรื่อยๆ จนจรดเยื่อในกระดูก และสามารถลด ละ มานะ ของ

ตนเองลงเปรียบเหมือนผ้าเช็ดธุลี อย่ามัวแต่ห่วงอกุศลของคนอื่น จนลืม อกุศล

ของตนเอง

- เมื่อสหายธรรมสนใจพระธรรม ได้มีโอกาสร่วมงาน ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี

และ เป็นการร่วมงานที่ประเสริฐ เพราะเป็นงานในการให้ความเข้าใจถูก

กับผู้อื่น และ ตนเอง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 27 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...เป็นความจริง ที่ผู้ใดได้สนใจศึกษา จนมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว จะรู้ด้วยตนเองว่า

พระธรรมนี่เอง คือ คำตอบของชีวิต

ดังนั้น จึงไม่ควรประมาทในพระธรรมโดยเห็นว่าพระธรรมเป็นของง่าย ไม่จำเป็นต้องศึกษาก็สามารถจะเป็นคนดี มีปัญญาได้...

และ

...ชีวิตจะยาวหรือสั้น ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ได้มีความเข้าใจพระธรรม...

กราบท่านอาจารย์

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น คุณเผดิม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 27 ต.ค. 2556

อนุโมทนาขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 28 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น,อ.ผเดิม และ ทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 28 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปวีร์
วันที่ 28 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 28 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 28 ต.ค. 2556
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
intra
วันที่ 30 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
suchanya
วันที่ 30 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ และขอบคุณท่านทั้งหลายที่กรุณาแบ่งปัน ในวันที่ลังเลสงสัย

ไม่แน่ใจ พอได้อ่านข้อความเหล่านี้แล้ว ก็มั่นคงขึ้น หมดความลังเลสงสัยอีกต่อไป

เป็นบุญที่ได้มารู้จักบ้านธรรมะแห่งนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
swanjariya
วันที่ 29 พ.ย. 2556

อนุโมทนาขอบคุณทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
มังกรทอง
วันที่ 27 ธ.ค. 2564

ความเสียหายของคนอื่น เขาอยากจะให้คนอื่นรู้ไหม? ไม่อยาก น่าเห็นใจไหม เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาดในความพลั้งพลาดของบุคคลนั้น ก็ไม่ควร ที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ว่าควรที่จะได้ช่วยให้เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติ ในสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่ควรอย่างไร แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงความเสียหาย ของบุคคลนั้นให้คนอื่นรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นก็เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นความเห็นใจ เป็นกุศลจิตในขณะนั้น น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ