เอาตัวรอด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาต ยกข้อความของพี่เมตตา ที่อธิบายดีแล้ว ในเรื่องเอาตัวรอด
เอาตัวรอด ตอนที่ 1 หนทางเอาตัวรอดด้วยปัญญา
ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกจริงๆ ว่า ทุกอย่างที่มีจริงที่กำลังปรากฏเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา มิเช่นนั้น ขณะกระทำกุศลก็ยังเป็นเรา เราให้ทาน เรารักษาศีล เราอบรมเจริญสติปัฏฐาน แท้จริงเป็นเพียงการกระทำกิจของของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย มีเราที่ตรงไหน เห็นขณะนี้ เกิดแล้ว ดับแล้ว เราทำเห็นให้เกิดก็ไม่ได้ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ขุ่นเคืองใจทันที โกรธเกิดขึ้นก็เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา
บางท่านก็จะหาทางเอาตัวรอดจากอกุศล ไม่ต้องการให้โกรธเกิด ไม่ต้องการให้ความติดข้องเกิด หาวิธีที่จะไม่ให้โทสะ โลภะ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน นั่นก็เป็นตัวเราที่หาหนทาง ซึ่งไม่มีทางที่จะได้รู้จักธรรมะเลย ไม่มีใครที่จะยับยั้งโทสะ โลภะได้เลย แต่ปัญญาเท่านั้น ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิด โกรธ ติดข้องอิจฉา ตระหนี่ ความสำคัญตน ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา โทสะก็เป็นธรรมะ โลภะก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ไม่หวั่นไหว เพราะว่ามีความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ปัญญาความเข้าใจเท่านั้นที่จะทำให้ขณะนั้น ไม่เป็นไปกับอกุศล รักษาจิตไม่ให้ตกไปในฝ่ายอกุศล เอาตัวรอดด้วยกุศลที่เป็นปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก
เอาตัวรอด ตอนที่ 2 กำลังเอาตัวรอด หรือเปล่า
การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจธรรม และขณะที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจ ขณะนั้นกำลังเอาตัวรอดจากความไม่รู้ รอดจากอกุศล ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมหรือฟังแล้วไม่เข้าใจ ความไม่รู้ ไม่เข้าใจจะเอาตัวรอดจากอกุศลได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังฟังพระธรรมอยู่ แล้วเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เมื่อฟังแล้วไม่ลืม ความเข้าใจจึงจะเป็นทางรอดจากอกุศลได้เพราะเข้าใจ กำลังเอาตัวรอดจากอกุศลทุกประเภท เริ่มจากความเข้าใจถูก ความเห็นถูกว่าเป็นธรรมจริงๆ ปัญญาเอาตัวรอดจากอวิชชา และความเห็นผิด ธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้รอดจากอกุศลได้ ท่านกำลังเอาตัวรอดอยู่หรือเปล่า
เอาตัวรอดตอนที่ 3 ทางรอดมี ตอนจบ
ในชีวิตประจำวันทันทีที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบสัมผัสก็ติดข้องในสิ่งต่างๆ เมื่อไม่มีความเข้าใจพระธรรม มีแต่ความไม่รู้ ความติดข้อง ความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก็แสวงหาสิ่งต่างๆ เพื่อให้ตนได้แต่สิ่งที่ดีๆ ให้ได้เห็น ได้ยิน สิ่งที่น่าพอใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่น่าพอใจก็ขุ่นเคืองใจ ชีวิตในแต่ละวันจึงเอาตัวไม่รอด จากอกุศลชีวิตดำเนินไปตามอำนาจของกิเลสต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่มีวันจบสิ้น
ทางรอดมี รอดจากกิเลสด้วยปัญญา ความเห็นถูกเข้าใจถูก เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมะ ธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้รอดจากอกุศลได้ ธรรมะสำหรับศึกษาไม่ใช่คิดเอาเอง ถ้าคิดเองก็ไม่รอดแน่ๆ แต่ทางรอดก็ต้องเริ่มจากฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ จนกว่าธรรมะปฏิบัติธรรมะเอง เห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินเป็นสภาพได้ยินไม่ใช่เราได้ยิน จนกว่าสติระลึกสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไประลึก มีแต่ธรรมะปฏิบัติธรรมะ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พรัผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ล้วนมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น กล่าวคือ ไม่พ้นไปจากจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) เลย ที่มีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป นั้นก็เพราะว่ายังดับกิเลสใดๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชา และ ตัณหา
เมื่อมีการเกิดขึ้นในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย และ แต่ละคนก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามการสะสมไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ก็ต่างกันโดยการได้รับผลของกรรมที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วในอดีต และ ต่างกันโดยการสะสมเหตุในปัจจุบันอีกด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น โดยปกติของผู้ที่มีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นไปมากกว่ากุศล แต่อกุศลที่ว่านี้ตราบใดที่ยังไม่ได้มีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนสัตว์อื่นผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็ยังไม่เป็นเหตุให้ได้รับผลที่เป็นอกุศลวิบาก แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตไม่หายไปไหน เมื่อสะสมมากขึ้นมีกำลังขึ้นก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ ซึ่งถ้าล่วงเป็นทุจริตกรรมเมื่อใดก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้าได้ ทั้งหมดนั้นเป็นผลมาจากการที่ยังมีกิเลสอยู่นั่นเอง แต่ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะอกุศล เท่านั้น กุศลก็เกิดได้ มีได้ในชีวิตประจำวัน สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดี ซึ่งจะไม่ปะปนกันกับส่วนที่ไม่ดีเลย
การดำรงชีวิต การเอาตัวรอด ของผู้ที่ได้เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลธรรม ก็ย่อมจะแตกต่างจากผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ไม่เห็นโทษของอกุศลธรรม ซึ่งก็จะพอสังเกตเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ว่าแต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่กระทำอกุศลกรรม พร้อมทั้งสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นเหตุให้ตัวเองรอดจากอกุศล รอดจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุดเอาตัวรอดในทางพระพุทธศาสนาเป็นเรื่อง ของกุศลธรรมครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ