ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๕

 
khampan.a
วันที่  3 พ.ย. 2556
หมายเลข  23962
อ่าน  2,133

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๕]

--- ธรรมที่ได้ยินได้ฟังอยู่ หรือที่จะได้ยินต่อไป หรือว่าที่ได้ยินมาแล้วก็ตาม ท่านจะ ต้องไตร่ตรองจริงๆ ให้ได้ความเข้าใจที่แท้จริง จึงจะได้ประโยชน์ที่เกิดจากธรรมที่ ได้ฟัง มิฉะนั้นแล้วท่านอาจหลงผิด เชื่อผิด ปฏิบัติผิดได้โดยง่าย แต่ถ้าท่าน พิจารณาไตร่ตรองในเหตุผล โดยรอบคอบ ก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

--- ถ้าผู้ใดประมาทธรรม ก็คิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องพิจารณามาก ในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นว่าปฏิบัติอย่างไรๆ เข้าใจอย่างไรๆ ก็ถูกทั้งนั้น นั่นคือผู้ที่ประมาทธรรม แต่ว่าผู้ที่ไม่ประมาทธรรมนั้น ย่อมพิจารณาเห็นธรรมด้วย ความละเอียดรอบคอบ

--- รูปร่างภายนอกอาจจะดูน่าดู แต่ว่าเวลาพูดเต็มไปด้วยกิเลส มีการโอ้อวด หรือว่าเต็มไปด้วยความริษยา ผูกอาฆาตต่างๆ รูปงามนั้นก็เป็นรูปที่ไม่งาม เสียแล้ว เพราะเหตุว่าขณะนั้นมีจิตที่ทำให้กล่าววาจาที่เป็นอกุศลเพราะ กิเลสของตน

--- ความหมายของการประพฤติปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา จุดมุ่งไม่ได้อยู่ ที่เพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ แต่ว่าจุดมุ่งอยู่ที่การขัดเกลา การดับกิเลส การสงบ บาปได้โดยประการทั้งปวง

--- เพียงคิดว่าจะทำกุศล แต่ถ้าไม่ทำ ขณะต่อไปก็เป็นอกุศลเสียแล้ว หรือเมื่อกี้นี้ สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมก็เป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ สะสมหนาแน่นยิ่งขึ้น เหนียวแน่นยิ่งขึ้น

--- อัธยาศัยของผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลส ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้อกุศลจิตเกิดกระทำ อกุศลกรรม ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงเตือนทรงโอวาทพุทธบริษัทให้เป็น ผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็ไม่พึงพอใจในบาป และไม่พึงดูหมิ่นบาป ว่าบาปมีประมาณน้อย จักไม่มาถึง

---กุศลนี้มีประโยชน์มาก แต่เกิดน้อย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรประมาท แล้วก็เจริญ กุศลให้มากขึ้น

---ไม่ทราบว่าจะไปสู่สถานที่ใด ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า และท่านผู้ฟัง จะเห็นได้ว่า ด้วยเหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงทรงเตือนให้ระลึกถึงความตาย ก็เพื่อ ที่จะให้อบรมเจริญกุศลที่จะกระทำได้โดยเฉพาะการอบรมเจริญสติปัฏฐานที่จะให้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยเจ้า ที่จะถึงการดับภพชาติ ไม่ต้องเกิดอีก

--- เรื่องติดนี่เหนียวแน่นจริงๆ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมาก มายเหลือเกิน ถ้าไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จะไม่รู้ตัวเองเลยว่า กิเลส มากมายและเหนียวแน่น หนาแน่น แค่ไหน

--- เป็นการยากเหลือเกินที่จะเว้นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์ได้เป็นสมุจเฉท ถ้าบุคคล นั้นยังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามารถที่จะดับสัมผัปปลาปวาจา การพูดคำที่ไม่มีประโยชน์ได้เป็นสมุจเฉท แต่สำหรับท่านที่ใคร่ในการศึกษาธรรม ในการอบรม ในการเจริญธรรม ท่านพากเพียรที่จะละเว้นและขัดเกลากิเลสตาม อัธยาศัยที่ท่านได้สะสมมา

---กว่าจะดับกิเลสได้จริงๆ ต้องขัดเกลามาก พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกประการ

---การที่จะเป็นทุจริตทางกาย ทางวาจา ก็จะต้องอาศัยอกุศลจิตที่เป็นปัจจัยทำให้ เกิดวจีทุจริตทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง

---จิตนี้สะสมกิเลสไว้มากเหลือเกิน ถ้าไม่ศึกษาพระวินัยบัญญัติ ก็จะไม่เห็นจริงๆ ว่า กายอย่างนั้น วาจาอย่างนั้นเกิดขึ้นเพราะกิเลสจริงๆ การที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องอบรมทุกประการ

--- จะละรูปได้หมดสิ้น เมื่อไม่มีการเกิดอีก หนทางที่จะไม่เกิดอีก คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา

---เห็นไม่ใช่คิด คิด ไม่ใช่ เห็น

--- คนหลับ ไม่เห็น ขณะเห็น ไม่หลับ

---โกรธ เพราะไม่รู้ ติดข้องพอใจ ก็ไม่รู้ และเพราะยังมีความไม่รู้ จึงมีการฟัง พระธรรม ศึกษาพระธรรม

---คำจริง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง เป็นพระพุทธพจน์ ควรศึกษาให้เข้าใจ อย่างแท้จริง

--- ไม่ประมาทที่จะเข้าใจ ว่า โลภะ เป็นโทษ เป็นภัย

---อะไรที่จะทำให้ไม่ติดข้อง คือ การอบรมเจริญปัญญา, การอบรมเจริญปัญญา พึ่งได้แน่นอนทำให้พ้นจากทุกข์และกิเลสทั้งปวงได้อย่างแท้จริง

---ควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และ ทำทุกอย่าง ที่จะดำรงพระพุทธศาสนาด้วยความถูกต้อง

---ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ อย่างไร

---พระบรมสารีริกธาตุ เตือนให้ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงพระธรรมประกาศความจริงเกื้อกูลแก่สัตว์โลกในขณะที่พระองค์ยังทรง พระชนม์อยู่

---ไม่มีเลยในสมัยพุทธกาลที่ผู้ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมแล้ว จะไปสร้าง สำนักปฏิบัติไม่มีเลยจริงๆ

---จะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้อื่นเกิดกิเลส หรือ จะเกื้อกูลให้เขาได้เข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ?

---พระธรรมคำสอนทั้งหมด เพื่อเข้าใจ เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส

--- เมื่อเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว จะมีที่พึ่ง จะไม่ทำให้คล้อยตามในสิ่งที่ผิด

---เพราะมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ย่อมแน่นอน ต่อการ ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง

---ถ้าไม่มีความติดข้องต้องการจะสบายมากเลยทีเดียว ลองคิดดูว่า วันนี้ อยากจะรับประทานอะไรแล้วสิ่งนั้นไม่มี เดือดร้อนไหม นี้แหละ เป็นเพราะความ ติดข้องต้องการ เพราะติดข้องแล้ว เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์ เดือดร้อน

--- มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจพระธรรม

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกันทุกท่าน ร่วมแบ่งปันข้อความธรรม ด้วยนะครับ)

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความย้อนหลังครั้งที่ ๑๑๔ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน

- ขณะนี้มีเสียงปรากฏ ตามรู้เสียงหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ตามรู้ก็ไม่ใช่ตามรู้ บังคับ

บัญชาไม่ได้ ไม่มีเราที่จะไปตามรู้ และเมื่อไหร่ที่ เห็น กับ ได้ยินไม่มาเกี่ยวข้องกัน

เมื่อนั้นก็ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจไม่ใช่ให้ไปทำอะไร เมื่อเข้าใจมั่นคงขึ้น

ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็ตามรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ รู้ได้ด้วยปัญญาไม่ใช่รู้ได้เพราะ

อยาก

- การเป็นคนดี ขณะที่เป็นคนดีก็ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือประเทศชาติแล้ว ยิ่งได้มี

โอกาสได้อบรมเจริญความเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องนั้นเป็น

ปํญญาและปัญญาเท่านั้นที่จะรักษาใจไม่ให้ตกไปในฝ่ายอกุศล ขณะโกรธมีประโยชน์

ไหม ขณะคิดตรึกไปถึงสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เมตตา การให้ แทนอกุศล ปัญญาที่เข้า

ใจธรรมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร สิ่งที่กำลังเผชิญหน้าก็ไม่พ้นไปจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัสและการคิดนึก ปัญญาที่เข้าใจธรรมว่า จิตแต่ละขณะเกิดแล้วดับไปขณะนั้นเป็นกุศล ขณะเป็นกุศลขณะนั้นอกุศลไม่เกิด

- ควรพิจารณาว่าความเสื่อมทั้งหลายนั้น ความเสื่อมแห่งปัญญานั้นชั่วร้ายน่ากลัว

ที่สุด เพราะเหตุว่าความเสื่อมปัญญานั้นเป็นปัจจัยให้เกิดความเห็นผิด ความเข้าใจ

ผิด ซึ่งเป็นเหตุทำให้การประพฤติปฏิบัติผิด บางคนอาจไม่เห็นโทษเห็นภัยของ

ความเสื่อมแห่งปัญญา ไม่เห็นอันตราย ตามความเป็นจริงแล้ว ความเสื่อมญาติก็ดี

ความเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ก็ดี เป็นแต่เพียงความเสื่อมในภพชาตินี้ที่เห็นๆ กันอยู่

เท่านั้น แต่ความเสื่อมแห่งปัญญานั้นจะเป็นเหตุปัจจัยให้ไปเกิดในทุคติภูมิ เกิด

ในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น อันจะเป็นเหตุตัดรอนไม่ให้ปัญญาเจริญ

ขึ้นจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

- ความเจริญด้วยปัญญา ย่อมประเสริฐที่สุด เลิศที่สุด ถ้าไม่ได้พิจารณาไม่ได้

ไตร่ตรอง ก็อาจจะเข้าใจว่าความเจริญด้วยญาติ การเป็นผู้มีญาติมากย่อมจะเป็น

ประโยชน์เกื้อกูลมาก สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลได้ในยามจำเป็น แต่ถ้าไม่มีปัญญา

แล้ว ก็ไม่ประเสริฐเลย เพราะญาติทั้งหลายไม่สามารถติดตามไปเกื้อกูลในชาติ

ต่อไปได้ แต่ปัญญาที่มี ที่อบรมเจริญในชีวิตประจำวัน ไม่สูญหายไปไหน สะสม

สืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง

- เรื่องทรัพย์สมบัตินั้นมีได้ก็ย่อมเสื่อมไปได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา ไม่อยู่

ในอำนาจบังคับบัญชาได้ แต่เมื่อเสื่อมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ผู้ไม่มีปัญญาย่อมรู้สึกเดือดร้อนมาก แต่ตราบใดที่ยังเป็นผู้เจริญด้วยปัญญา ยังประเสริฐกว่าการมีทรัพย์สมบัติแต่ขาดปัญญาหรือเสื่อมจากปัญญา

- ในโลกนี้มีสิ่งที่ควรทำบ่อยๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน การกระทำจะบ่อยๆ

ด้วยอกุศลเป็นส่วนใหญ่ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนให้

รู้ว่า...บ่อยๆ ด้วยโลภะ ด้วยอวิชชา หรือเปล่า หรือบ่อยๆ ด้วยปัญญา ทรงแสดงบ่อยๆ

ด้วยโลภะ...จนถึงบ่อยๆ ด้วยปัญญา ทรงแสดงปัญญาที่รู้ลักษณะสภาพธรรมตาม

ความเป็นจริง อบรมเจริญปัญญาบ่อยๆ เพื่อบรรลุอริยมรรคแล้งไม่ต้องมาเกิดอีกบ่อยๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 3 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Wisaka
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 4 พ.ย. 2556

กราบขอบพระคุณท่านอ.สุจินต์และคณะวิทยากรทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 4 พ.ย. 2556
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
papon
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
thilda
วันที่ 4 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
raynu.p
วันที่ 5 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
rrebs10576
วันที่ 5 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Jans
วันที่ 6 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
phawinee
วันที่ 28 พ.ย. 2556

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
มังกรทอง
วันที่ 29 ธ.ค. 2564

ถ้าผู้ใดประมาทธรรม ก็คิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องพิจารณามาก ในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นว่าปฏิบัติอย่างไรๆ เข้าใจอย่างไรๆ ก็ถูกทั้งนั้น นั่นคือผู้ที่ประมาทธรรม แต่ว่าผู้ที่ไม่ประมาทธรรมนั้น ย่อมพิจารณาเห็นธรรมด้วย ความละเอียดรอบคอบ

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

ธรรมที่ได้ยินได้ฟังอยู่ หรือที่จะได้ยินต่อไป หรือว่าที่ได้ยินมาแล้วก็ตาม ท่านจะ ต้องไตร่ตรองจริงๆ ให้ได้ความเข้าใจที่แท้จริง จึงจะได้ประโยชน์ที่เกิดจากธรรมที่ ได้ฟัง มิฉะนั้นแล้วท่านอาจหลงผิด เชื่อผิด ปฏิบัติผิดได้โดยง่าย แต่ถ้าท่าน พิจารณาไตร่ตรองในเหตุผล โดยรอบคอบ ก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ