ความสามัคคีที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา

 
sutta
วันที่  6 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24137
อ่าน  9,643

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๒๓

ว่าด้วยสามัคคี ๓ อย่าง

[๒๑๑] คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการไม่แสดงตนในภพนั้นว่าเป็นความพร้อมเพรียง มีความว่า คำว่า ความพร้อมเพรียง ได้แก่ สามัคคี ๓ อย่าง คือ คณะสามัคคี ๑ ธรรมสามัคคี ๑ อนภินิพพัตติสามัคคี ๑ คณะสามัคคีเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลายแม้มาก พร้อมเพรียงกันชื่นชมกัน ไม่วิวาทกัน เป็นดังน้ำเจือด้วยน้ำนม แลดูกันและกัน ด้วยจักษุเป็นที่รักอยู่ นี้ชื่อว่า คณะสามัคคี ธรรมสามัคคีเป็นไฉน สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมเหล่านั้นย่อมแล่นไป ผ่องใส ประดิษฐานด้วยดี พ้นวิเศษ โดยความเป็นอันเดียวกัน ความวิวาท ความขัดแย้งกัน แห่งธรรมเหล่านั้นย่อมไม่มี นี้ชื่อว่า ธรรมสามัคคี อนภินิพพัตติสามัคคีเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลายแม้มาก ย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความบกพร่องหรือความเต็มแห่งนิพพาน ธาตุของภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏ นี้ชื่อว่า อนภินิพพัตติสามัคคี

ความสามัคคีในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีหลสกหลายนัย ทั้งเบื้องต้นจนถึงสูงสุด ซึ่ง ความสามัคคี มี 3 อย่าง คือ

คณะสามัคคี

ความสามัคคี ที่หมายถึง โดยนัยสมมติ ที่เป็น คณะ กลุ่ม ที่สามัคคีกัน ซึ่งก็ไม่พ้นจากแต่ละคน แต่ละหนึ่ง ที่มีจิตใจ เมตตา หวังดี ไม่รังเกียจ ผูกโกรธกัน แต่ ใจคิดด้วยความเป็นมิตร เมื่อใจเป็นมิตร กาย วาจา ต่อหน้า และ ลับหลัง ก็เป็นไปเพื่อเกื้อกูลหวังดี เพื่อประโยชน์สุขของกันและกัน เมอื่ แต่ละหนึ่ง เป็นเช่นนี้ ใจที่ดี ก็ทำให้กลุ่มมีความสามัคคี มีความหวังดี ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และหวังดีกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง คณะ กลุ่มนั้น ก็เป็นคณะที่มีความสุข เพราะ เริ่มจากตนเองที่มีจิตเป็นกุศล โดยนัยตรงกันข้าม อกุศลที่เกิดขึ้นแต่ละคน จะทำให้คณะสามัคคีไม่ได้เลย เพราะแม้จะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ เป็นการรวมตัวของอกุศลธรรม ก็ไม่เป็นความสามัคคี ที่แท้จริง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งตามมา เพราะ เป็นอกุศลธรรม เพราะ ความสามัคคีที่แท้จริง หมายถึง เมตตา ความ หวังดี ที่เป็นกุศลธรรม ความสามัคคี จะเกิดขึ้นได้ ก็จะต้องเริ่มจากแต่ละคน แต่ละหนึ่ง คือ เริ่มจากใจของตนเอง ที่มีความเมตตา มีความเข้าใจ หวังดี เริ่มจากคนรอบข้าง ใกล้ตัว เมื่อมีเมตตาที่เพิ่มขึ้น ก็ย่อมมีเพิ่มไปในบุคคลรอบข้าง สังคมข้างนอก คิดด้วยกุศลจิต กาย วาจาก็น้อมไปในทางที่ดี ที่เป็นกุศล มี เมตตา หวังดี ไม่ผูกโกรธกัน ไม่อคติ สังคมก็น่าอยู่ เพราะสภาพธรรมทีเป็นกุศล ย่อมนำมาซึ่ง ความรื่นรมย์กันของสังคม เพราะ อยู่ด้วยกันด้วย กาย วาจา และ ใจที่ดี ซึ่ง จะเริ่มมีได้ หรือ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีในสังคมคือ แต่ละหนึ่ง เริ่มจากตนเอง ที่จะสนใจ ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมากขึ้น ก็เป็นการเสพคุ้น สิ่งที่จะทำให้เกิด กุศลธรรม เมื่อปัญญาความเข้าใจเกิด ความคิดนึกก็เป็นไปในทางที่ดี วาจา และ การกระทำก็ดีตามไปด้วย เมื่อเกิด กุศลธรรม เกิดความดีงาม ก็ทำให้ สังคม หมู่คณะ อยู่ด้วยความสามัคคี ที่เป็นความสามัคคีด้วยกุศลธรรม

ธรรมสามัคคี

เมื่อพูดถึง ธรรม ก็หมายถึง สภาวะของสภาพธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก ที่เป็นกุศล อกุศล สภาพธรรมที่เป็นอกศล ย่อมเข้ากันได้ กับ อกุศล สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยนัย สมมติว่า สัตว์โลก คบกันโดยธาตุ คือ ตามธาตุที่อุปนิสัยเมือนกัน ผู้ที่ธาตุ นิสัยไม่ดี ก็ย่อมเข้ากันได้ กับผู้ที่มีอุปนิสัยไม่ดี ที่คล้ายกัน ในอกุศลธรรมเรื่องนั้น ส่วน ผู้ที่มีธาตุดี อุปนิสัยที่ดี ก็เข้่ากันได้ กับผู้ที่มีอุปนิสัยที่ดี ซึ่งแท้ที่จริง เมื่อลึกลงไปที่สภาพธรรมก็คือ อกุศลธรรมก็เข้ากันได้กับอกุศลธรรม อกุศลธรรม ย่อมเข้ากันไม่ได้ กับ กุศลธรรมเลย ยกตัวอย่างเช่น อกุศลจิตเมื่อเกิดขึ้น มีโลภมูลจิต เป็นต้น กุศลเจตสิก มี ศรัทธา หิริ ปัญญา ไม่สามารถเกิดขึ้นร่วมกันได้เลย แต่ โมหเจตสิก อกุศลเจตสิกอื่นๆ ย่อมเกิดร่วมกับ โลภเจตสิกได้ เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น อกุศลธรรม ย่อมเข้ากันได้ กับ อกุศลธรรม แต่ย่อมเข้ากันไม่ได้ กับ กุศลธรรมเลย ไม่ว่าจะเป็นกาลไหนๆ โดยนัยตรงกันข้าม กุศลธรรม ย่อมเข้ากันได้ กับ กุศลธรรม กุศลธรรมย่อมเข้ากันไม่ได้เลย กับ อกุศลธรรม เช่น กุศลจิต มีเมตตา เกิดขึ้น ขณะนั้น โทสะ ย่อมไม่เกิด แต่ มีความละอาย และ เกรงกลัวบาปเกิดขึ้น มี สติเกิดขึ้นในขณะนั้น และ เมื่อกล่าวโดยนัยสูงสุด ที่เป็นธรรมสามัคคีแล้ว ธรรมที่ดี ที่รวมกันเกิดขึ้น เพื่อละสภาพธรรมที่ไม่ดี คือ อกุศลธรรม ที่ไม่ใช่ธรรมที่สามัคคี แต่เป็นไปเพื่อความทะเลาะเบาะแว้ง เป็นต้น และ นำมาซึงทุกข์ โทษ เพราะ อาศัยความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อธรรมสามัคคี คือ ปัญญา และ กุศลธรรมประการอื่นๆ มี สติ หิริ โอตตัปปะ ศรัทธา เป็นต้น ที่เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 สัมปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 เกิดขึ้น และเกิดพร้อมกัน ก็ช่วยกัน ละกิเลส สามัคคีที่ จะ ละ อกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ความสามัคคีที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา จึงเป็นสภาพธรรมที่ดีที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ที่เป็นกุศลธรรมที่เกิดพร้อมปัญญา ละ อกุศลธรรม ละกิเลส เพราะฉะนั้น เมื่อใด ขณะที่ปัญญารู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่ เป็นสติปัฏฐานเกิดขึ้น แม้ไม่กล่าวว่า เป็นผู้มีความสามัคคี แต่ ขณะนั้น ก็กำลังมี ธรรมที่ สามัคคีกัน ละ อกุศลธรรม ความไม่รู้ในขณะนั้น อันเป็นความสามัคคีที่ ประเสริฐสุด เพราะ เป็นการละ ศัตรูที่แท้จริง ที่โลกสำคัญผิดคิดว่ามีศัตรูภายนอกตัว แต่ความเป็นจริง ถ้าไม่มีศัตรูภายใน คือ อกุศลธรรมแล้ว ก็จะไม่คิดผิดว่ามีศัตรูภายนอกเลย ศัตรูที่ทำร้ายจิตใจเกือบตลอดเวลา จึงควรอบรมความสามัคคี คือ ปัญญา กุศลธรรม ที่จะ ทำให้เกิด ธรรมที่ดีที่สามัคคีกันละกิเลสที่ไม่ดี ละทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด

อนภินิพพัตติสามัคคี

เป็นความสามัคคีของผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้น และ ถึงกาลที่ปรินิพพาน เป็นความสามัคคีที่ประเสริฐ เพราะ ต่างก็ดับทุกข์ ไม่เกิดอีกสิ้นเชิง พร้อมเพรียงที่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากวัฏฏะ เป็นความพร้อมเพรียงที่ไม่นำมาซึ่งทุกข์โทษ เพราะ ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ 5 ที่นำมาซึ่งทุกข์โทษเลย และ ถึงพระนิพพาน ที่ไม่พร้่อง คือ สามารถรับได้ ไม่เต็ม สำหรับผู้ที่จะนิพพาน ครับ

จะเห็นได้ถึงการกล่าวเรื่องความสามัคคีตามที่กล่าวมานั้น มีความละเอียดลึกซึ้ง ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงสูงสุด ซึ่ง เมื่อมีความเข้าใจเรื่องสามัคคีที่ถูกต้องแล้ว ย่อมจะนำพาให้เกิด ความสามัคคีที่ถูกต้อง คือ เกิด กุศลธรรม มีเมตตา ความหวังดีทั้งทางกาย วาจาและใจ และ ที่สำคัญที่สุด การอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้เกิด ธรรมสามัคคี ที่จะทำให้ละกิเลส ศัตรูที่แท้จริงได้ในที่สุด ครับ

ความสามัคคีจึงไม่ได้ไกลตัวหรือ เป็นเรื่องของสมมติที่เป็นเรื่องราวของสังคมเลยที่จะสามัคคี ใจของแต่ละท่าน ต่างหาก ที่แสดงถึง ความสามัคคี หรือ ไม่สามัคคี ซึ่ง

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะทำให้ถึงความสามัคคที่ประเสริฐสุด

ธรรมเตือนใจจากท่านอาจารย์ สุจินต์ ดังนี้

ฟังธรรมแล้วสามัคคีกันหรือไม่ ขณะที่ไม่สบายใจ ขุ่นเคืองไม่พอใจ ขณะนั้น ความคิดเห็น การกระทำไม่พร้อมกัน ไม่สามัคคีกัน ไม่ช่วยกันทำ มีทุกข์ ไม่ใช่สุข แต่ขณะที่ฟังธรรมแล้ว ผู้ที่ศึกษาธรรม ฟังธรรม น้อมประพฤติเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือ เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ความเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเป็นผู้มีจิตเสมอกันด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเพียรเผากิเลสความไม่รู้ด้วยความเข้าใจ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

สัมโมทมานชาดก [พินาศเพราะทะเลาะกัน]

ความสามัคคีกับความแตกสามัคคี

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนอย่างไรเวลาเกิดเหตุ อสามัคคี ขึ้นบ้าง

การฟังธรรมสามัคคีกันอย่างไร [สัมพหุลภิกขุสูตร]

การให้อภัยกันสามัคคีกันอย่างไร [สัมพหุลภิกขุสูตร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นประโยชน์มาก ครับ

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็น ในส่วนที่จะเป็นข้อคิดเตือนใจเพิ่มเติม ครับ

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ย่อมมีปัจจัยให้ เกิดอกุศลจิตขึ้นได้ ในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้นนั้น กิเลสก็เกิดพร้อมกับ อกุศลจิตในขณะนั้น เพราะจิตเป็นกุศลได้ ก็เพราะประกอบด้วยกิเลสประการต่างๆ มีโลภะ เป็นต้น โดยไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย มีแต่ธรรมเกิดขึ้นทำกิจ หน้าที่เท่านั้น ขณะที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด ไม่ยอมปล่อยให้จิตเป็นกุศลเลย และอกุศลจิตก็เกิดมากด้วยในชีวิตประจำวัน

นี้คือ ความเป็นจริง

ถ้าเป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษา พระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ก็จะทำให้จากที่เคยเป็นผู้มีอกุศลมาก จากที่เป็นอกุศลบ่อยๆ เนืองๆ กาย วาจา ใจ เป็นไปกับอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็จะค่อยๆ น้อมไปในทางที่เป็น กุศลยิ่งขึ้น เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมมากยิ่งขึ้น ขัดเกลากิเลสมากขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาให้มากขึ้น ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อปัญญา เจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็ย่อมจะอุปการะเกื้อกูลให้ธรรมฝ่ายดีค่อยๆ เจริญขึ้นด้วย กล่าวได้ว่า สภาพธรรมที่ดีงาม ย่อมคล้อยไปตามความเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ได้ ปัญหาต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น การอยู่ร่วมกันในสังคม ก็อยู่กันอย่างมีความสุข เพราะกุศลธรรม เพราะต่าง คนต่างก็เป็นคนดี คนดี ก็มีแต่จะคิด พูดและทำในสิ่งที่ดี พร้อมใจกันจะทำใน สิ่งที่ดีๆ

เพราะฉะนั้นแล้ว ที่เป็นประโยชน์จริงๆ ในชีวิต ก็คือ กุศลธรรม ความดี ประการต่างๆ โดยเฉพาะความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม- ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว, การช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นสิ่งที่ดี ส่วน ความโกรธ ความผูกโกรธ ไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ครับ.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ... [กุรุงคมิคชาดก]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. ผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

สามัคคี ทำให้ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นสามัคคีที่เป็นกุศลธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 7 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 7 ธ.ค. 2556
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ