ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๒๐
* ชีวิตปกติประจำวัน เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน สติจะต้องระลึก ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงตามปกติใน ชีวิตประจำวันของท่าน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมีสำนักปฏิบัติ ชีวิตจริงของ บุคคลใดเป็นอย่างใด สติระลึกรู้เพื่อปัญญาจะได้รู้ชัดในลักษณะของ สภาพธรรมที่ไม่ตัวตน สัตว์ บุคคล
* การที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่รู้แจ้งแทง ตลอดในสภาพธรรมทั้งปวง จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ตัดได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีก) ถ้ายังไม่มีการเจริญอบรมปัญญา ที่จะรู้แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะไม่มีอะไร ที่สามารถที่จะดับกิเลสได้เลย
* ความไม่ละอายเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นอหิริกะเจตสิก เกิดพร้อมกับ อกุศลจิตทุกดวง เพราะความไม่ละอายในอกุศลธรรมระดับนั้น ขั้นนั้นยังมี จิตจึงเกิดเป็นอกุศลในขั้นนั้น ปัญญาที่รู้ความจริงอย่างนี้บ่อยๆ เนืองๆ จะขัดเกลาละอหิริกะในอกุศลธรรมเท่าที่ระดับขั้นของปัญญาจะเป็นไปได้ แล้วแต่ว่าปัญญาขั้นใดจะเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมขั้นใด ก็ขัดเกลา ละคลายอกุศลธรรมระดับนั้นๆ
* ขณะที่เพียงคิดก็ยังเป็นกุศล แม้จะยังไม่ได้กระทำ แต่ก็มีการสะสมไว้ เพื่อว่าเมื่อมีโอกาสเมื่อไร ก็ยังเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดการให้ การเสียสละ เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่นได้
* ยากที่จะรู้ได้ว่า แต่ละบุคคลมีการสะสมมาในการที่จะรับฟังพระธรรมเทศนา ได้ปฏิบัติตาม มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกได้มากเพียงใด
* ผู้ศึกษาพระธรรมจะเห็นกุศลที่มีกำลังของเมตตา ถ้าท่านมีเมตตาจิต แล้วบุคคลอื่นอาจจะคิดร้ายกับท่าน คิดไม่ดีกับท่านด้วยประการใดก็ตาม แต่ท่านมีเมตตาจิตต่อผู้นั้นจริงๆ ก็คงจะทำให้บุคคลนั้นรู้สึกผิดชอบได้ แล้วก็แล้วแต่ผู้นั้นสะสมปัจจัยมากน้อยเพียงไร ที่จะมีการระลึกถึงหรือ อยากที่จะชดเชย ทดแทนการกระทำผิดที่ได้กระทำไว้ต่อท่านมากน้อย เพียงไรหรือไม่
* ศึกษาธรรม ไม่ใช่เฉพาะเรื่องหรือชื่อ เพราะขณะนี้เป็นธรรม มีให้ศึกษาอยู่ตลอด
* อกุศล ก็เคยทำ กุศลก็เคยทำ แต่ไม่รู้เลยว่า เป็นอะไร นี่แหละ อวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
* ถ้าไม่มีจิตเกิด จะไม่มีใครมานั่งอยู่ ณ ตรงนี้ได้เลย
* เมื่อรู้ว่า “ธรรม ยาก” ทำให้ละความหวัง แล้วเพิ่มพูนความอดทน ความเพียร ที่จะฟังที่จะศึกษาให้เข้าใจยิ่งขึ้น
* เพียงเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย นี้แหละคือขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงตามความเป็นจริง
* ปัญญา เกิด ความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เกิด
* ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่มีความคิดเลยว่า “แล้วเมื่อไหร่ จึงจะเข้าใจ” ไมต้องไปหาอวิชชา ที่ไหน เพราะเกิดแล้ว มีแล้ว ในขณะที่เป็นอกุศล
* เป็นโอกาสที่ดี เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็มีการสนทนา เพื่อจะได้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
* ศึกษาธรรม ก็คือ ศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
* เห็นแล้ว ไม่รู้ อวิชชา ก็อยู่ตรงที่ไม่รู้ความจริงของเห็น
* อะไรเกิด? (ธรรม เกิด) อะไร ตาย? (ธรรม ตาย) เป็นการแสดงถึงสภาพธรรม ที่เกิดเพราะเหตุัปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
* ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วจิตหนึ่งขณะจริงๆ
* ไม่รู้มานานแสนนาน แล้วจะให้รู้ในทันทีทันใด จะเป็นไปได้อย่างไร
* จิต ในวันหนึ่งๆ ไม่ดี มากมาย เพราะเป็นอกุศลจิต มีเจตสิกฝ่ายไม่ดีเกิดร่วมด้วย
* ความไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง และเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์อย่างมากมาย
* สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก
* ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหน อยู่ที่ไหน ปัญญาเป็นที่พึ่งได้สำหรับผู้ที่มีปัญญา
* ถ้าไม่มีความชอบธรรม บ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร
* ขณะไหนเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศล ขณะไหนเป็นกุศล ก็เป็นกุศล
* ถ้าแต่ละคนเป็นอกุศลหมดเลย ทำไม่ดีหมดเลย จะอยู่กันอย่างสงบสุขได้อย่างไร
* อกุศล เริ่มเบียดเบียนตั้งแต่เริ่มเกิด
* ความไม่รู้มีมากมายเหลือเกิน จึงทำให้อกุศลเกิดมากมายเหลือเกิน สะสมความเข้าใจลงในจิต เพราะอกุศลไม่สามารถทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ได้เลย
* คุณค่าของการที่ได้ฟังความจริง ประเสริฐสุด ซึ่งเงินทองหาซื้อไม่ได้ ความไม่รู้ ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ในเมื่อเป็นความไม่รู้ จะถูกต้องได้อย่างไร ตลอดจนถึง โลภะ โทสะ ก็เป็นอกุศล จะถูกต้องได้อย่างไร
* คนไม่ดี คนเลว แล้วเราไปโกรธ คนนั้น เราก็เลว เหมือนกัน
* ประมาท คือ มีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ต่อไป
* เป็นคนดี ทำความดี ไม่ประมาท และฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะทำให้รอดพ้นจากภัยในสังสารวัฏฏ์
* ถ้าจะมีชีวิตอยู่ ก็ขอมีชีวิตอยู่ เพื่อเข้าใจพระธรรม
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๑๙
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- ทุกอย่างที่มีอยู่จริงเป็นธรรม เกิดเพราะมีปัจจัยให้เกิดเป็นอย่างนั้นแล้วหมดไป หายไป ไม่เหลือ มีแล้วหามีไม่ มีเพียงแค่ปรากฏแล้วหายไปไม่เหลือแม้สักอย่าง เดียว ไม่มีใครสามารถเอาสิ่ง ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนกลับมาได้ ผู้ที่คิดว่าหาได้ ก็คือ ไม่ได้เข้าใจธรรม ธรรมเก่าที่หายไป ก็มีธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นที่ให้ติดข้อง เพลิดเพลินพอใจ แม้เป็นสิ่งใหม่ก็ชั่วขณะปรากฏ ของหายไปบางครั้งยังหาเจอ แต่ธรรมที่เกิดแล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้ารู้อย่างนี้ก็เป็นเหตุ ให้ไม่เดือดร้อนใจ เพราะว่าไม่ใช่ของใคร และไม่มีใครเป็นเจ้าของ
- ขณะนี้ฟังเรื่องราวของธรรม เพื่อปัญญาค่อยๆ สะสมความเห็นถูก เพิ่มความเข้าใจ ขึ้นว่า สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ที่จะเห็นว่าจากไม่มีอะไรปรากฏ แล้วเริ่มปรากฏแล้ว เพียงเล็กน้อยแล้ว หมดไป ไม่กลับมาอีก เป็นจริงอย่างนี้ตลอด และไม่มีทางอื่นเลย นอกจากสะสมความเห็นถูก เพื่อละความติดข้อง ละความสงสัยซึ่งมีเหตุมาจาก ความไม่รู้
- ขณะนี้ทุกขณะไม่เที่ยง ให้ทราบตามความจริงว่าขณะนี้เอง สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลัง ปรากฏ เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็เปลี่ยนแปลงความจริงนี้ไม่ได้ ขณะนี้ ที่มีสิ่งปรากฏก็เพื่อศึกษา เข้าใจยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อรอการประจักษ์การเกิดดับ สภาพธรรม ซึ่งมีได้ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้นเท่านั้น
- สิ่งที่มีสาระแท้จริงไม่ใช่เรื่องราวของธรรม แต่คือความจริงในชีวิตประจำวัน ที่ ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละทาง มีธรรมอยู่แล้ว ทั้งรูปธรรมนามธรรม ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า ธรรมคือ อะไร เกิดที่ใด เกิดเมื่อไร จึงเป็นเหตุให้ปัญญาเกิดได้
- มีประโยชน์อะไร จากหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏแล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และ เมื่อปรากฏก็เดือดร้อน ในสิ่งที่น้อยที่สุด ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มี ที่ปรากฏ เกิดขึ้นแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ที่ยังเดือดร้อนอยู่ในสิ่งที่มีแล้วหามีไม่ก็เพราะยังมี อวิชชา ที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง
- มีศรัทธา มีศีล ต้องมีสุตะด้วย จึงมีจาคะที่สละอกุศลได้ เพราะความติดข้อง พอใจหลั่งไหลมา กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มหาศาลเพียงใด ปัญญา ก็ค่อยๆ สามารถเห็นถูกตามความเป็นจริง ได้ว่าอกุศลไม่ควรเจริญ กุศลควรเจริญ เมื่อกุศลเจริญขึ้น ก็เป็นการสละอกุศลด้วยปัญญา
- ขณะที่กำลังรู้ว่าแข็ง แต่ไม่มีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะของ ธรรมเพียงแต่กล่าวตามได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และแข็งเป็นธรรม แต่กำลังกระทบ แข็งที่ปรากฏจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะมีตัวตนไปสังเกตสำเหนียก แต่เป็น ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นปัญญาที่ต่างจากการหลงลืมสติ และไม่ว่าสติเกิด หรือไม่เกิดแข็งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่เป็นปัญญาความเข้าใจที่จะทราบ ความต่างว่าสติสัมปชัญญะรู้แข็ง หรือมีแต่แข็งปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม
- น้อมไปสู่ธรรม หมายถึง จิตและเจตสิก ที่กำลังรู้สภาพธรรม เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ก็น้อมไปสู่การรู้ยิ่งขึ้น ออกจากความไม่รู้ทีละเล็ก ทีละน้อย เข้าไปสู่ความเข้าใจมากขึ้น
- ถ้าเราเป็นคนดี มีคนไม่ชอบ ก็ไม่ควรเดือดร้อน แต่ ถ้า ไม่ชอบในคนที่ไม่ชอบเรา ก็ผิดแล้ว
- พระพุทธเจ้า มีเมตตาต่อพระเทวทัตหรือเปล่า การกระทำด้วยเมตตา เพื่อให้คนนั้น ดีขึ้น ควรหรือไม่
- ต้องแน่ใจ และ ไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงก่อนค่ะ ว่า โทสะดีหรือเปล่า ไม่ว่าเกิดกับใคร
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอร่วมปันธรรม ที่ได้ฟังในวันนี้ สักหนึ่งข้อความนะครับ
"ปัญญา" ไม่ต้องมีใครไปหวั่นเกรงเลย ว่า จะรู้อะไรไม่ได้ แต่เมื่อเป็นปัญญา ที่อบรมแล้ว ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ในสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น "ปัญญา" ที่ได้อบรมแล้ว เท่านั้น ที่สามารถจะเข้าใจ ลักษณะ ของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ซึ่ง "ไม่มีเรา" ที่จะไปคิด หรือ ไปจำไว้ ว่า "เราทำ" แต่ความจริงก็คือว่า เป็นธรรมะ ทั้งหมด
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย และ คุณเผดิม ยี่สมบุญ ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
- ถูกคือถูก ผิดคือผิด ไม่ว่าในเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อพิจารณาว่า แต่ละหนึ่งๆ ที่ เกิดขึ้นว่าถูกหรือผิด ถูกคือกุศลธรรม ผิดคืออกุศลธรรม วางตัวเป็นกลางไม่มี มี แต่ข้างถูกที่เป็นกุศล และข้างผิดที่เป็นอกุศล
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม ด้วยค่ะ...