ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล คุณจริยา และ คุณศิริพล เจียมวิจิตร เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านริมสนามกอล์ฟเดอะรอยัลเจมส์ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
เมื่อเดินทางไปถึง ข้าพเจ้าก็ได้พบกับท่านเจ้าของบ้านคือคุณจริยา (คุณต๋อย) ซึ่งทราบว่า ท่านเป็นอดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ปัจจุบันท่านเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ เป็นต้นมา ทั้งท่านยังเป็น กรรมการสภามหาวิทยาลัยบูรพา อีกด้วย ข้าพเจ้าพบท่านขณะกำลังกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ ปลูกต้นอโศกพวง ไว้เป็นที่ระลึก
ภายในบริเวณบ้าน ที่มีบรรยากาศเหมือนรีสอร์ท บนเนื้อที่กว่า ๓ ไร่ ทอดยาว ริมสนามกอล์ฟเดอะรอยัลเจมส์ ร่มรื่นด้วยพรรณไม้และดอกไม้นานาชนิด ซึ่งเป็นความชื่นชอบโปรดปรานของท่านเจ้าของบ้าน คุณจริยาได้กล่าวว่า ที่ท่านกราบเรียนให้ท่านอาจารย์ปลูกต้นอโศกพวง เป็นที่ระลึกนี้ เพราะเหตุว่า เพื่อเป็นต้นสำรองเผื่อไว้ ในกรณีที่อาจจะเกิดน้ำท่วมตาย เพราะเมื่อคราวมหาอุทกภัยใหญ่ปลายปี ๒๕๕๔ นั้น บ้านหลังนี้ถูกน้ำท่วมอยู่นาน
ประการสำคัญที่สุด คือ ความสนใจในการศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อพบท่าน ข้าพเจ้าจึงจำได้ ว่าเคยเห็นท่าน เมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์ ได้รับเชิญเพื่อไปสนทนาธรรม ที่ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา นี้เอง สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกอ่านและชม ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖
"...ชนเหล่าใดดำเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว สำรวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุ เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ทรงแสดงแล้ว คุ้มครองอินทรีย์ มีสติทุกเมื่อ ไม่ชุ่มด้วยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแล่นไปตามกระแสบ่วงมาร ชนเหล่านั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะถึงฝั่ง คือ นิพพานในโลกแล้ว..."
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔
"...ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน..."
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในวันนั้น มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา ซึ่งท่านที่มาฟังการสนทนาธรรมในวันนั้น โดยมากเป็นผู้ใหม่ ท่านอาจารย์จึงเกื้อกูลอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกท่านที่มาได้มีความเข้าใจเริ่มต้นที่ถูกต้องในการศึกษาพระธรรม ทั้งมีผู้สนใจสอบถามปัญหา หลายท่าน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ร่วมฟังเป็นอันมาก ที่เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้าคือประโยคที่พราหมณ์ท่านหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "...ข้าพระองค์ ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้ฟัง "คำ" ของพระองค์..." บัดนี้ ประโยคนี้ จักเป็นอีกประโยคหนึ่ง ที่สถิตย์ในใจของข้าพเจ้าไปตราบเท่ากาลนาน "...ข้าพระองค์ ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้ฟัง "คำ" ของพระองค์..."
อะระหังสัมมา สัมพุทธโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวา เทมิ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ สุปะฏิปปันโน ภะคะวโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
ท่านอาจารย์ วันนี้ ก็เป็นวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันพิเศษ นะคะ เพราะเหตุว่า เราได้บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการกราบไหว้ ด้วยดอกไม้ ธูปเทียน และ ทุกวัน ก็เป็นอย่างนี้ แต่วันนี้ ด้วยการฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง เพื่อ "ความเข้าใจ" ค่ะ
ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่ "คำแรก" , "ธรรมะ" เราได้ยินคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราก็รู้จักพระพุทธ ที่เราเพิ่งจะบูชา ด้วยการกราบไหว้
ตอนนี้ ก็เป็นการบูชา "พระธรรม" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ได้ทรงแสดง สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพื่อให้เรา "รู้ตาม" แต่ ต้องคิด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ เรา การที่จะรู้ ตาม "คำ" ที่พระองค์ทรงแสดง ต้องเป็นสิ่งที่ "ยาก" และ "ละเอียด ลึกซึ้ง" มิฉะนั้น ก็จะเป็นคำอื่นๆ ที่เราเคยได้ยินมาแล้ว พอได้ยิน "คนอื่น" พูด "คำอื่น" เราเข้าใจ แต่พอเป็น "คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่ละคำ ต้องละเอียด แล้วก็บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการ "ฟังพระธรรม" เพื่อเข้าใจ
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ มีคำที่ลึกซึ้งมาก เช่น พระพุทธรัตนะ เป็นรัตนะที่สูงยิ่ง เพราะเหตุว่า เป็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ ซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบปาน ไม่ว่าปัญญาของใคร ในโลก เทวดา เทวโลก รูปพรหมภูมิ อรูปพรหมภูมิ ไม่ว่าปัญญาระดับไหน ทั้งสิ้น จะไม่เทียบเท่า หรือ เสมอกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลย
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องเป็นการฟังด้วยความเคารพในพระปัญญา ในความลึกซึ้งของพระธรรมที่ทรงแสดง แต่ละคำ แต่ละคำ แม้แต่คำว่า "พระธรรมรัตนะ" ก็ต้องรู้จัก แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" แล้วก็ "รัตนะ" ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริง ภาษาบาลี ภาษามคธี ใช้คำว่า "ธรรมะ" "เดี๋ยวนี้" สิ่งที่ปรากฏ จริงทั้งนั้น "เห็น" ก็จริง , "ได้ยิน" ก็จริง , "คิด" ก็จริง, ทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือแม้แต่ "เสียง" ก็เป็นจริง ทั้งหมด เป็นธรรมะ ซึ่งเราไม่เคยรู้เลย ว่าเป็นสิ่งที่ต้องมีปัจจัย จึงเกิดได้ ไม่ใช่เกิดมาได้ลอยๆ หรือว่า ใครอยากจะให้เกิดก็เกิด เป็นไปไม่ได้เลย แต่ต้องเป็นการที่ ต้องมีปัจจัยเฉพาะ "สิ่งนั้น" ที่จะเกิดขึ้น "เป็นอย่างนั้น" ไม่ "เป็นอย่างอื่น"
เพราะฉะนั้น "ขณะนี้" เป็นธรรมะที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว แต่ "ไม่เคยรู้ความจริง" ของธรรมะ แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น หลากหลายมาก เป็นสิ่งต่างๆ ที่มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ แม้แต่ "เสียง" ก็มีเสียงต่ำ เสียงสูง ทำให้เราสามารถที่จะค่อยๆ จำ และ รู้ว่า แต่ละเสียงนั้น มีความหมายว่าอะไร?
แม้แต่ "ความจำ" ก็เกิดแล้ว "ไม่มีใครไปทำ" ทุกอย่าง เกิด โดยที่ว่า ไม่เคยรู้มาก่อนเลย จนกว่าจะได้ "ฟังพระธรรม" เพราะฉะนั้น ธรรมะ ถ้าจะให้เข้าใจที่ไม่ลืม ก็คือว่า เข้าใจถูกต้อง ว่าหมายความถึง สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ทั้งหมด ไม่เว้นเลย และ ทรงแสดงความจริงให้รู้ว่า ถ้าใช้คำว่า "ธรรมะ" ต้องไม่ใช่อื่น นอกจากสิ่งนั้นสิ่งเดียว ที่มี "ลักษณะ" อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เช่น "เสียง" มีจริงๆ เป็น "เสียง" เสียงเป็นอื่น ไม่ได้เลย
"กลิ่น" ก็มีจริงๆ เป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเป็น "กลิ่น" เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง เป็นธรรมะ ซึ่งไม่มีเจ้าของ เพราะเหตุว่า ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น และ เกิดแล้ว ก็ดับไป เร็วมาก จนไม่รู้ถึงการดับ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เอง กำลังอยู่ตรงนี้ เหมือนมีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ ใครรู้? ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดแล้วดับ
กว่าจะรู้ ก็ต้อง "ค่อยๆ ฟัง" และ "มีความมั่นคง" ในพระปัญญาคุณ ซึ่งค่อยๆ แสดงความละเอียดของธรรมะ ใน ๔๕ พรรษา ให้ "คนที่ได้ฟัง" เกิดความเข้าใจขึ้น "ทีละเล็ก ทีละน้อย" จน "รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เพราะได้เห็นพระปัญญาคุณ ในขณะนี้ "เริ่มเห็น" ไหม? แต่ก่อน ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงความจริง ตั้งแต่หลังจากที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ จนกระทั่ง ใกล้ที่จะปรินิพพาน ๔๕ พรรษา เป็น "คำ" ที่ไม่มีโอกาสจะได้ฟังจากคนอื่นเลย ถึง วาจาสัจจะ ความจริงของสิ่งที่มีจริง "ทุกคำ"
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้องละเอียด เพื่อ "เข้าใจ" เท่านั้น เพราะเหตุว่า แม้ "เข้าใจ" ก็มีจริง "ความไม่เข้าใจ" ก็มีจริง อะไรจะดีกว่ากัน? เข้าใจ กับ ไม่เข้าใจ เข้าใจความจริง ต้องดีกว่า ไม่รู้ความจริง และ (เมื่อ) ไม่เข้าใจความจริง ก็จะหลง เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่า ความจริง คือ อะไร?
ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำ "ทีละคำ" เช่น ขณะนี้ ไม่มีอะไร นอกจากธรรมะ จริงหรือเปล่า? แค่นี้ค่ะ ฟังธรรมะ ก็ต้อง คิด ไตร่ตรอง "ขณะนี้" ทุกอย่างที่มีจริงๆ เกิดแล้ว จึงปรากฏว่า มีจริงๆ แล้วก็ ไม่มีใครสามารถไปทำให้เกิดด้วย เกิดเพราะปัจจัย แต่ละคน ขณะนี้ "คิด" ไม่เหมือนกัน "ความคิด" ของแต่ละคน แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ปัจจัย คือ สิ่งที่ได้ผ่านมาแล้วในชีวิต การจำเป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ทำให้เกิดความคิดถึง สิ่งที่เคยเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็จำไว้ เป็นเรื่องราวต่างๆ ยากที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร และ ไม่ใช่ใคร แต่ "มี" ตามเหตุ ตามปัจจัย
กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ และ เห็นประโยชน์ว่า ทำไมต้องรู้อย่างนี้? "เป็นเรา" ไม่ดีกว่าหรือ? แต่ "เป็นเรา" มีอะไรดีบ้าง? เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวคิด เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ก็ยังคิด บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่า ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า แม้ "คิด" ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น ตามที่ได้ยิน ได้ฟัง หรือว่า ตามที่ได้สะสมมา ชั่วคราว แล้วก็หมดไป ตอนหลับสนิท ไม่มีใครคิดอะไร ใช่ไหม? หลับสนิท อะไรก็ไม่ปรากฏเลย บ้านทั้งหลังก็ไม่ปรากฏ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง โลกทั้งโลก ไม่เหลือเลย ในเวลาที่ไม่คิด เพราะ หลับสนิท แต่ก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาไม่ได้ เพราะเหตุว่า เกิดมาแล้ว ต้องเห็น เมื่อมีตา ต้องได้ยิน เมื่อมีหู ต้องได้กลิ่น เมื่อมีจมูก ต้องรู้รสต่างๆ ขณะที่รสปรากฏ แล้วก็ต้องมีการกระทบสิ่งที่ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ขณะนี้ ทางกาย เราบอกได้ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้ อากาศดี หรือว่าร้อน รู้ทางกายตลอดเวลา แต่ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แม้เย็น แม้ร้อน แม้แต่ความรู้สึกว่าร้อน ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามปัจจัย
ทุกวัน เป็นอย่างนี้ เบื่อไหม? ดีไหม? ต้องเป็นอย่างนี้ จะไม่เป็นอย่างนี้ ไม่ได้เลย มีใครที่จะพ้นจากความเป็นอย่างนี้บ้าง? ไม่มี!! แม้เดี๋ยวนี้ ก็เห็น แม้เดี๋ยวนี้ ก็ได้ยิน แม้เดี๋ยวนี้ ก็คิดนึก แสดงว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยละเอียดยิ่ง ตั้งแต่ขณะเกิด เกิดแล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย แล้วก็ลืมเรื่องทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในชาตินี้ เหมือนชาติก่อน เราอยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ก็เหมือนชาตินี้ กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะอีกไม่นาน ขณะนี้ ก็เป็นชาติก่อนแล้ว แต่ว่า ขณะนี้ ตราบใดที่ยังไม่เป็นชาติก่อน เป็นชาตินี้ ก็จำสิ่งที่มีในขณะนี้
แต่พอถึงจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครจำได้เลย พิสูจน์ได้ง่ายมาก ชาติก่อนต้องมี ไม่อย่างนั้น ชาตินี้ไม่มี เหมือนเมื่อวานนี้มี วันนี้จึงมี เพราะเหตุว่า เป็นธรรมะซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลง นิยาม ความแน่นอน ที่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น
เมื่อวานนี้ ใครจำอะไรได้บ้าง? เห็นตั้งเยอะ ได้ยินก็มาก คิดก็มากมาย ใครจำอะไรได้บ้าง? ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว ทุกวัน ก็เป็นอย่างนี้ เพียงแต่เกิด มีให้เห็น แล้วก็หมดไป เกิดให้ได้ยิน แล้วก็หมดไป แต่ว่า ตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจ โดยการที่ปัญญา สามารถรู้จริงๆ ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิด สิ่งนั้นดับ เร็วมาก แต่ว่า เกิดสืบต่อ จนเหมือนไม่ดับเลย เดี๋ยวนี้เอง กำลังเป็นอย่างนี้!!!
เห็น แล้วก็ ได้ยิน แล้วก็เห็น แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิดนึก เกิดดับ สืบต่อ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ดับ เช่น เสียง ถ้าไม่ดับ ต้องมีเสียงอยู่ตลอด แต่ก็ปรากฏว่า เกิดแล้ว ก็หมดไป "คิด" ต้องมีคิด สิ่งนั้น คำนั้น ไม่ใช่คำอื่น อยู่ตลอด ถ้าไม่ดับ แต่ว่า คิด เพราะเกิดขึ้น "คิด" แล้วก็หมดไป ที่ใช่คำว่า "ดับ" ก็คือว่า ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือ ความจริง
เพราะฉะนั้น การที่จะได้ฟังพระธรรม คือผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการรู้ความจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยการฟัง ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่า เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง ไม่ใช่คนอื่น!! ยากไหม? หรือว่า ให้พระองค์ แสดงคำง่ายๆ เหมือนคนอื่น? แต่ว่า ที่ต่างกับคนอื่น เพราะว่า แต่ละคำ "ลึกซึ้ง" แม้แต่คำที่เราเคยได้ยิน คำว่า "อริยสัจจะ" สัจจะ คือ ความจริงที่ประเสริฐ ทุกคนจำหัวข้อ มี ๔ อย่าง อะไรบ้าง (แต่) เดี๋ยวนี้ เป็นอะไร? เป็นสัจจะไหน? ก็ไม่รู้เลย!!
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ศึกษา เพื่อรู้จัก พระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบริสุทธิคุณ เพราะ ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพื่อพระองค์เท่านั้นที่จะรู้ความจริง แต่เพื่อที่จะได้ประกอบด้วยพระญาณ ที่สามารถที่จะอนุเคราะห์ ช่วยเหลือบุคคลอื่น จากความไม่รู้ ให้เป็นความรู้ ความเข้าใจ เหมือนอย่างชาติก่อนๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ ก็ไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีชีวิตอย่างนี้แหละ!!
แต่ว่าเห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ก็ได้ฟังพระธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แล้วก็รู้คุณค่า ของการที่จะได้รู้ความจริง ก็บำเพ็ญความดี เพราะเหตุว่า เพียงแต่เข้าใจ (ธรรม) อย่างเดียว กิเลสที่สะสมมามาก ไม่พอที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะได้มีโอกาส ได้เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฏ!! ให้ตรงตามความเป็นจริง
และ รู้ว่า คำนั้น เป็นคำที่มาจากการที่ ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานมาก เพื่อที่จะให้เรา ได้ยิน ได้ฟัง แต่ละคำ แต่ละคำ จริงๆ !!! เช่น คำว่า "ธรรมะ" ถ้าไม่ศึกษา ก็คิดกันไปต่างๆ นาๆ กุศลธรรม อกุศลธรรม ยุติธรรม อยุติธรรม ก็พูดกัน แต่ว่า ธรรมะ คือ อะไร? ต้องตั้งต้น ในขณะนี้ คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ "เห็น" มีจริงๆ ไม่ใช่เราเลย ถ้าตาบอด ไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย ถ้าตาดี แต่หลับสนิท ไม่มีอะไรที่จะกระทบตา ซึ่งขณะเมื่อกระทบแล้ว เป็นปัจจัยให้ "ธาตุรู้" เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้เอง กำลังเห็น
นี่คือ การที่กว่าจะเข้าใจว่า "ธรรมะ" ก็คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่ยั่งยืน เป็น "แต่ละหนึ่ง" ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ สืบต่อ อย่างเร็วมาก กว่าจะรู้อย่างนี้ ก็ต้องอาศัยการเข้าใจ "คำแรก" คือคำว่า "ธรรมะ" สิ่งที่มีจริง พิสูจน์ได้เลย ทุกคำ ในพระไตรปิฎก เป็นเรื่องของเห็น "เห็น" มีจริง เป็นเรื่องของได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ ต่างๆ ก็คือ มีจริงทั้งนั้น ในชีวิตประจำวัน แต่...หลงเข้าใจผิด "ว่าเป็นเรา"
เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ถ้าได้เข้าใจถูกต้อง ก็จะรู้ว่า ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม "มืดสนิท" แม้สิ่งที่มีทุกวัน ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง แต่เมื่อฟังแล้ว ก็เข้าใจ แล้วก็อบรม ความเข้าใจ ให้เข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้าย คือ จิตที่ทำกิจ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แล้วก็ไม่กลับมีปัจจัย ที่จะทำให้เกิดอีกเลย ได้ ก็คือ ปรินิพพาน อีกนานไหม?
คิดว่า ใครเป็นพระอรหันต์บ้างคะ? คิดได้ แต่ไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่า อรหันต์ รู้อะไร? ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ใช้คำนี้ คือ ผู้ที่ดับกิเลสได้ "เพราะรู้" ทั้งๆ ที่ "ไม่รู้" จะไปเป็นพระอรหันต์ ได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าใครเป็นพระอรหันต์ น่ะ "คิดเอง" ยังไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ บอกสิว่า คือ อะไร? แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง
โกรธ เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็นแน่นอน มีจริงๆ อะไรก็ตาม ที่มีจริงๆ เกิดขึ้น ให้รู้ว่ามีจริง สิ่งนั้น ก็เป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ใช้คำว่า "ธรรมะ" เราก็ใช้คำว่า "สิ่งที่มีจริง" ก็ได้ เดี๋ยวนี้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏว่า มีจริงๆ ทุกขณะ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมะทุกขณะ เป็นสิ่งที่มีจริง นั่นเอง!!
การสนทนาธรรม จะมีประโยชน์ด้วย เพราะเหตุว่า ฟังแล้ว อาจจะมีข้อสงสัย ก็สนทนากัน เพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้น ทุกคำถาม
ท่านผู้ถาม เรื่องสมาธิ คือ ทุกคน ที่ชอบไปตามวัด ไปนั่งสมาธิ จิต กับ สมาธิ นี้ อันเดียวกัน ใช่ไหมคะ? ไปนั่งกัน ไปทำใจให้เป็นสมาธิ มีคนที่ไปตามวัด ไปนั่งสมาธิ อะไรประมาณนี้ค่ะ
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ในครั้งพุทธกาล ไปทำไมคะ? ที่วัดวาอาราม เช่น พระเชตวัน ไป...เพื่อฟังพระธรรม ไป..เพื่อให้รู้ ให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ในพระสูตร มีข้อความที่พราหมณ์ผู้หนึ่ง ท่านกล่าวว่า......ข้าพระองค์ ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้ฟัง "คำ" ของพระองค์...เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ? "ข้าพระองค์ ปรารถนา" ไม่ใช่ธรรมดา นะคะ (ปรารถนา) "อย่างยิ่ง" ที่จะได้ฟัง "คำ" ของพระองค์ แสดงว่า "คำ" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่า ให้ไป "ทำสมาธิ" หรือเปล่า? เวลาไปวัด หรือว่า ในอดีต เวลาไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ให้ทำสมาธิหรือเปล่า? ไม่มีค่ะ ไปฟังธรรมกัน ไม่ใช่หรือ? เพื่ออะไร? ก็เพื่อ "เข้าใจ"
เพราะฉะนั้น เรา "คิดเองไม่ได้เลยสักอย่าง" ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม จะไม่รู้เลยว่า เราฟังพระธรรมหรือเปล่า? หรือว่า เราฟังใคร? ที่ไม่ทำให้เราเข้าใจอย่างละเอียดยิ่ง อย่างถ่องแท้ อย่างปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ จึงสามารถที่จะรู้ว่า "กำลังฟัง วาจาจริง" หรือว่า "ฟังเรื่อง ที่ไม่มี ในขณะนี้" แต่อยาก จะให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่มีความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังมี ขณะนี้!!!
เพราะฉะนั้น คำใดๆ ก็ตาม ที่ไม่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่มี "คำนั้น" ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! เป็นคำ ของคนอื่น แล้วคนอื่นน่ะ เป็นใคร? แล้วไปเชื่อใคร? เขาไม่ได้ให้ความรู้ ความเข้าใจอะไรเลย เขาบอกให้ทำก็ทำ เขาเป็นใคร? เราเป็นใคร? เขาบอกให้ยืน จะยืนไหม? เขาบอกให้เดิน จะเดินไหม? ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่เข้าใจ!!! เพราะฉะนั้น จึงสามารถที่ เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่า คำไหน เป็นคำจริง คำไหน เป็นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
...ดูกรจุนทะ ตถาคตตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ราตรีใด ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ราตรีใด ในระหว่างนี้ ตถาคตภาษิตกล่าวชี้แจงคำใดไว้ คำนั้นทั้งหมดเป็นคำแท้จริงอย่างเดียว ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ตถาคต เพราะเหตุที่ พระชินพุทธเจ้าตรัสแต่คำจริง ทรงประกาศธรรมที่แท้จริง และ พระดำรัสของพระองค์ก็เป็นคำจริง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงชื่อว่า ตถาคต...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณทักษพล คุณจริยา คุณศิริพล เจียมวิจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ขอเชิญคลิกชมตอนอื่นๆ ได้ที่นี่...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...คำใดๆ ก็ตาม ที่ไม่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่มี
"คำนั้น" ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นคำ ของคนอื่น
แล้วคนอื่นน่ะ เป็นใคร?
แล้วไปเชื่อใคร?
เขาไม่ได้ให้ความรู้ ความเข้าใจอะไรเลย
เขาบอกให้ทำ ก็ ทำ
เขาเป็นใคร? เราเป็นใคร?
เขาบอกให้ยืน จะยืนไหม? เขาบอกให้เดิน จะเดินไหม?
ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น จึงสามารถที่ เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่า คำไหน เป็นคำจริง
คำไหน เป็นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณทักษพล คุณจริยา คุณศิริพล เจียมวิจิตร
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ