ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันจันทร์ ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล คุณจริยา และคุณศิริพล เจียมวิจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านริมสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
ทุกครั้งที่มีการสนทนาธรรม ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกๆ ท่านจะสังเกตุได้ คือความเป็นปกติธรรมดาของชีวิต ที่ทุกๆ ท่าน มารวมตัวกัน เพื่อที่จะได้ฟัง "คำจริง-วาจาสัจจะ" ที่หาฟังได้ยากในโลก เพราะเหตุว่า "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป ซึ่งมิได้เป็นผู้ที่ได้สะสมมา ที่แม้เมื่อได้ยินแต่ก็ไม่ฟัง ไม่สนใจจะฟัง
แต่สำหรับบุคคลที่เคยสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ย่อมจะเป็นผู้ที่มักมีคำถามของตนที่ฝังแนบแน่นอยู่ในใจทุกเมื่อ ทุกสมัย ที่ทุกท่านย่อมสังเกตุได้จากใจของตนเอง ว่า ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมในชาตินี้ เคยเป็นผู้ที่แสวงหาคำตอบของชีวิต แสวงหาความเข้าใจความจริง มีคำถามในใจโดยตลอด ว่าเกิดมาเพื่ออะไร? ชีวิตมีแค่นี้ละหรือ? เกิดแล้วก็ตาย สาระที่แท้จริงของการเกิดคืออะไรกันแน่? เมื่อได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดง จึงรู้ว่า นี้เป็นคำถามของโพธิสัตว์ (สาวกโพธิสัตว์) สัตว์ที่จะตรัสรู้ได้ในวันหนึ่งนั่นเอง จากการได้ยินได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ ของผู้ที่ตรัสรู้แล้ว จนเป็นผู้ที่ได้รู้ตาม
แม้กระนั้น ผู้ที่ได้พบกับพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะเหตุว่า ที่ว่าความรู้นั้น ย่อมมีทั้งรู้ถูกและรู้ผิด หนทางที่ถูกและหนทางที่ผิด (สัมมามรรคและมิจฉามรรค) ดังที่ได้ทรงแสดงไว้เพื่อเตือนพุทธบริษัท ที่จะไม่หลงผิด คิดเอาเอง เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ นอบน้อมอย่างยิ่ง ด้วยความไม่ประมาท เพราะเหตุว่า พระธรรม ยาก ละเอียด และลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังแล้ว ก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่เป็นผู้ที่ฟังอีก และฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ พิจารณา ไตร่ตรอง คำที่ได้ยินได้ฟัง จนเป็นความเข้าใจของตนเองจริงๆ
เมื่อมีความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น จากการฟัง การศึกษา (ธรรมะที่กำลังปรากฏในแต่ละขณะนี้ ถูกต้องขึ้น) ปัญญาย่อมนำไปในกิจทั้งปวง กล่าวคือ บุคคลย่อมเป็นผู้ที่น้อมไปสู่ความดีทุกๆ ประการ คลายออกจากความเห็นผิด ความคิดผิด ประการต่างๆ ที่เคยมีมา ไปสู่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความคิดถูก และการกระทำต่างๆ ที่ถูกต้อง ทิ้งคำพูด การยึดถือและการกระทำต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ จากการที่ได้ฟังและเข้าใจ คำจริง วาจาสัจจะ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้สัตว์โลกได้รู้ ได้เข้าใจ ซึ่งบุคคลย่อมพิสูจน์ได้ด้วยปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นของตนเอง จากการที่ได้อบรม คือ การได้ยิน ได้ฟัง พระธรรม เช่นโอกาสที่ท่านเจ้าบ้านได้มีเมตตา เกื้อกูล มอบโอกาสอันวิเศษ แก่ทุกๆ ท่าน ในวันนี้ ที่จะได้มีโอกาสรับรสอันเลิศ ไม่มีรสใดในสากลจักรวาลจะเปรียบได้กับรสของพระธรรม ที่ได้ถูกนำมาแสดงด้วยความเมตตาอันยิ่ง โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในวันนี้
กราบอนุโมทนาท่านเจ้าบ้าน เฉพาะอย่างยิ่งคุณจริยา เจียมวิจิตร ที่ได้จัดเตรียม ประดับประดา ตบแต่งสถานที่ ด้วยดอกไม้และกล้วยไม้นานาพรรณ พรั่งพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกทุกประการ โดยประสงค์ให้ทุกๆ ท่านที่มา ได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ ขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรยากาศอันรื่นรมย์ ประดุจเทพเทวา นางฟ้า ฟังพระธรรมอยู่ภายในศาลาสุธรรมา สวนนันทวัน เทวอุทยานในสวรรค์ เห็นปานนั้น
อันดับต่อไป ขอนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น มาฝากทุกๆ ท่านพิจารณา ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้เพียงคำว่า "ธรรมะ" คำเดียว ก็มีความละเอียด ลึกซึ้ง อย่างยิ่ง ที่บุคคลทั่วไป ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็คิดว่าเข้าใจแล้ว เพราะเหตุว่า ได้ยิน ได้ฟังคำนี้มาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อถูกถามว่า ธรรมะคืออะไร? ก็ตอบไปต่างๆ นานา ตามความคิดของตนเอง ซึ่งไม่ตรงกับความหมายที่ทรงใช้คำนี้เลย เมื่อบุคคลไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ว่า ธรรมะคืออะไร? การที่จะมีความเข้าใจธรรมะต่อไป ย่อมเป็นไปไม่ได้ ความเข้าใจในความหมายของคำว่า ธรรมะ จึงเปรียบเหมือนประตูด่านแรก ที่จะนำบุคคลไปสู่หนทางของชีวิตที่ถูกต้อง มั่นคงขึ้น ในการสะสม อบรม เจริญปัญญา เพื่อถึงที่สุดของการดับทุกข์ได้ ในหนทางไกลที่แสนไกล ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวว่า ที่คิดว่าไกลนั้น ไกลกว่าที่คิด!! เพียงสะสมความเข้าจากการฟัง ไปทีละเล็ก ทีละน้อย ในขณะนี้ ก็เป็นขณะที่ประเสริฐแล้ว สำหรับการได้มีโอกาสเกิดมาในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง จนกว่าความเข้าใจนั้นจะเจริญไปตามลำดับ ถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมได้ในวันหนึ่ง
คุณจริยา ดิฉันขอเรียนคำถามแรก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ซึ่งมาใหม่ "ธรรมะ คือ อะไร?" ซึ่งหลายๆ คนก็ถาม แล้วก็ ทำไมเราจึงต้องศึกษาธรรมะ ค่ะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไรที่นีคะ? เดี๋ยวนี้มีอะไรที่นี่คะ? (มีผู้ตอบว่ามีดอกไม้) มีดอกไม้ ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น จะมีดอกไม้ไหม? ไม่มี ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น อะไรๆ ต่างๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ หมายความว่าต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีเลย
การศึกษาธรรมะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่ง แล้วก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละคำ ต้องเริ่มต้นว่า ประโยชน์ของการฟังแต่ละครั้ง คือ เพื่อเข้าใจ ซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะ "คิดเอง" ตลอดเลย ตั้งเกิดมาก็ "คิดเอง" มาเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ฟัง "คำ" ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
เพราะเหตุว่า "คำของคนอื่น" ไม่ใช่คำของผู้ที่ตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่จะได้ยิน เป็นคำที่ "ถ้าเข้าใจ" ก็หมายความว่า ไม่ใช่ใครมาบอกให้เราเข้าใจ แต่จากการที่เราได้ยิน แล้วเราก็ไตร่ตรอง ขณะนั้น ก็เป็นความเข้าใจของเรา ที่เกิดจากการไตร่ตรองแล้ว!!!
เพราะฉะนั้น ธรรมดาๆ นะคะ เดี๋ยวนี้ มีอะไรบ้าง? เดี๋ยวนี้มีดอกไม้ ถ้าหลับตา แล้วจะมีดอกไม้ไหม? อย่างนี้ง่ายๆ เลยใช่ไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ซึ่งมีแล้ว แต่ไม่มีใครรู้!! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งนั้นมีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มี!!
บางคนฟังแล้วจะเบื่อทันทีเลย พูดเรื่องอะไร? ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พูดเรื่องสิ่งที่มีแค่นี้? แต่ความจริง เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง สักอย่างเดียว!! ก็เลยต้องเข้าใจสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มี เราจะไปเข้าใจได้ไหม? ไม่ได้แน่!!
แต่สิ่งที่กำลังมี ถ้าถามต่อไป ก็ไม่รู้แน่ๆ ว่าเห็นอะไรแน่!! เห็นไหม? เมื่อกี้นี้ตอบว่า เห็นดอกไม้ แต่ถ้าให้คิดต่อไป เห็นอะไรแน่? อันนี้ตอบไม่ถูกแน่ ใช่ไหม? เพราะเคยเห็นดอกไม้มานานแสนนาน เห็นเมื่อไหร่ ก็ดอกไม้ ต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของต่างๆ
เพราะฉะนั้น คำตอบที่ตรง ถูกต้อง จากการตรัสรู้ คือ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย!! เห็น "แข็ง" ได้ไหม? ไม่ได้แน่นอน ใครจะไปเห็นแข็งได้!! เห็น "เสียง" ได้ไหม? เห็น "กลิ่น" ได้ไหม? เพราะฉะนั้น เห็นได้อย่างเดียว คือ เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" เมื่อ "จิตเห็น" เกิดขึ้น!!
พูดสั้นๆ ง่ายๆ คือ ทุกคนมีจิต แต่ "จิต" วันหนึ่งๆ ก็หลากหลายมาก เดี๋ยวจิตก็ดี เดี๋ยวจิตก็ร้าย ต่างๆ นาๆ เดี๋ยวจิตก็ "เห็น" เดี๋ยวจิตก็ "คิด" ถ้าไม่มีจิต ไม่มีการรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว แต่สภาพรู้ทั้งหมด รู้ทั้งนั้นเลย ทางตาก็เห็น ทางหูก็รู้อีก รู้อะไร? รู้ "เสียง" ทางกายรู้อะไร? รู้ "แข็ง"
เพราะฉะนั้น เราลืมว่า แท้ที่จริงแล้ว มีสิ่งซึ่งเราไม่รู้เลยมานานแสนนานแล้ว แต่เป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า เห็นอะไร? เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา แสดงว่า ถ้าไม่มีตา จะเห็นไหม? ไม่เห็น ถึงมีตา แต่นอนหลับ เห็นไหม? ก็ไม่เห็น!!
เพราะฉะนั้น ตื่นนี่แหละ กำลังเห็นนี่แหละ หมายความว่า ต้องมีตาแน่นอน แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่า ต้องแยกให้ละเอียดว่า "เห็น" ไม่ใช่ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ถูกต้องไหม? คือ ต้องค่อยๆ ฟัง ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง "สิ่งที่ปรากฏ" ไม่ใช่ "เห็น" แน่นอน และ "เห็น" ก็ไม่ใช่ "สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น" ชั่วขณะหนึ่งที่เกิด "เห็น" ความจริงอยู่ที่นั่นว่า "ไม่ใช่เรา", "ไม่ใช่ของเรา" เพราะว่า "เห็น" เกิด แล้ว "เห็น" ก็ดับ ขณะต่อไปที่ "ได้ยิน" ทันทีที่ "ได้ยิน" ก็ไม่มี "เห็น" แล้ว ไม่มี "คิดนึก" แล้ว!!
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ที่หลงยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่า เป็นของเรา ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง "แต่ละหนึ่ง" เมื่อเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้!! อย่าง "แข็ง" กำลังปรากฏ แสดงว่าแข็งเกิดขึ้นเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้!! "เสียง" ปรากฏ แสดงว่าเสียงเกิดเป็นเสียง เป็นอื่นไม่ได้ ถ้ามี "กลิ่น" กลิ่นเกิดปรากฏ เปลี่ยนกลิ่นให้เป็นหวาน เป็นขม ไม่ได้เลย กำลังลิ้มรสรับประทานอาหาร เปลี่ยนรสแต่ละรสที่ปรากฏให้เป็นอื่นไม่ได้เลย รวมความว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ทั้งวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกวัน!!
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พูดภาษาไทย ไม่ได้ทรงแสดงธรรมะกับคนไทย แต่ทรงแสดงธรรมะในภาษาที่ชาวเมืองนั้นสามารถที่จะเข้าใจได้ เมื่อทรงแสดงธรรมะกับชาวมคธ ก็ทรงตรัสธรรมะในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระพุทธศาสนาสืบต่อมา ไม่มีการที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป ก็หาคำเก่าไม่เจอ แต่ว่า เมื่อคำในภาษานั้นยังมี สามารถที่จะศึกษาให้เข้าใจได้ ก็ดำรงคำนั้นไว้ ให้ความเข้าใจธรรมะไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคง
เพราะฉะนั้น ภาษาบาลีพูดถึง "สิ่งที่มีจริง" ว่า "ธรรมะ" เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งที่มีจริงก่อน แล้วจะรู้ว่า ธรรมะอยู่ไหน เห็นไหม? ให้เราต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็น "ความเข้าใจของเรา" ว่า ธรรมะอยู่ไหน? ธรรมะมีจริงๆ หรือเปล่า? ต้องคิด!! พอบอกว่าธรรมะไม่ใช่สิ่งที่มีจริง กลายเป็นอีกคำหนึ่งแล้ว และ ตรงกันเลย เพียงแต่ว่าใช้คำต่างกัน แทนที่จะใช้คำว่า "สิ่งที่มีจริง" ก็ใช้คำว่า "ธรรมะ"
เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ "เห็น" มีอะไร? มี "เห็น" กับ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น", "เห็น" มีจริงๆ "เห็น" เป็นธรรมะ "สิ่งที่ปรากฏ" ก็เป็นธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมะ คือ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ติดคำว่า "ธรรมะ" เรากำลังศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!! จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่า "ไม่ใช่เรา" และ "ไม่ใช่ของเรา" ด้วย แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น!! มีใครสามารถที่จะทำให้ "เห็น" เกิดขึ้นได้บ้าง? คนตาบอดไม่มีทางจะเห็นเลย ถ้ามีใครสามารถจะทำให้ "เห็น" เกิดได้ ก็ไม่ต้องอาศัยตา ถ้าทำได้ แต่นี่เป็นไปไม่ได้เลย!!
เพราะฉะนั้น มีคำที่แสดงความจริงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นอนัตตา ก็มีคำที่เพิ่มขึ้น คือ ธรรมะ สิ่งที่มีจริง นี้แหละ เป็นอนัตตา สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา "เห็น" เกิดแล้วดับไป "เรา" อยู่ไหน? แค่ "ได้ยิน" ได้ยินแล้วก็ดับ จะเป็น "เราได้ยิน" ได้อย่างไร? "ได้ยิน" ไม่เที่ยง แค่เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไป แล้วก็ "คิด" ขณะที่ไม่ได้ยินก็คิด "คิด" เกิดขึ้นคิด แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะกล่าวได้ว่า เป็นเรา หรือว่า เป็นของเรา หรือว่า อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา
ฟังแล้วก็ลืม แต่ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้!!! แต่กว่าจะไม่ลืม คิดดู!! จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ!!! เมื่อนั้นก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ สิ่งซึ่งทุกคนไม่ได้สนใจเลย เห็นก็เห็นไป สุขก็สุขไป ทุกข์ก็ทุกข์ไป แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? มีใครทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า? ก็ไม่มี!!!
เพราะฉะนั้น นี่คือ เริ่มที่จะรู้ว่า เราฟังคำของใคร? ฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ฟังเพื่ออะไร? เพื่อเข้าใจความจริง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น!!! เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่รู้ จะมีประโยชน์อะไร? มีสิ่งที่มีจริงแล้วไม่รู้ว่าเป็นจริงอย่างนี้ ก็อยู่ไปโดยไม่รู้!!!
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ประโยชน์ก็คือว่า ได้เข้าใจ และ ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ เมื่อนั้น เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! "เห็น" ไม่ใช่เรา ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ไหม? "เห็น" ไม่ใช่เรา ก็เป็น "เราเห็น" ไปตั้งแต่เกิดจนตาย!! "ได้ยิน" ก็ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย
นี่คือ การ "เริ่ม" ที่จะรู้ว่า ได้ยินอย่างนี้แล้ว ทำไมยังเป็นเรา? ยังไม่หมดเราสักทีหนึ่ง เพราะได้ยินน้อยมาก ได้ฟังน้อยมาก กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ความจริง ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน ไม่ใช่เพียงแค่เราได้ยินเพียงคำ สองคำ แล้วก็จะหมดความเป็นเราได้!!! เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังธรรมะอีก แทนที่จะ "คิดเอง"
เพราะว่า บางคน ถนัด ชำนาญ "คิดเอง" ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ได้ยินนิดหนึ่ง ก็คิดเองไปตั้งมากมาย แต่ว่าตามความเป็นจริง "คิดเอง" ผิดทันที!! เพราะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงโดยละเอียดยิ่ง ไม่ต้องเสียเวลาคิดเอง!! เพราะว่าคิดเองก็ผิดไปเปล่าๆ คิดมาเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ ก็ผิดมากเท่านั้น นานเท่านั้น ก็เสียเวลา!!
เพราะฉะนั้น ทางที่ดี ฟังธรรมะ ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น กว่าเข้าใจจนกระทั่งไม่มีเรา นั่นคือ ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งใครเลยจะคิดว่าจะรู้ได้ "เห็น" เดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับ แต่จริง ใช่ไหม?
สิ่งที่ไม่จริง รู้ไม่ได้ เพราะไม่จริง ไม่จริงแล้วก็จะไปรู้ได้อย่างไร? แต่สิ่งที่จริง จะรู้ไม่ได้หรือ? ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็ต้องรู้ได้ แต่ไม่ใช่ "ความไม่รู้" หรือ "ความเป็นเรา" จะไปรู้!! ต้องเป็น "ความเข้าใจ" ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา" ความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ ตรงตามความเป็นจริงของธรรมะ
ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่ง แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นไปได้ไหม? คะ? ตอนต้นๆ เป็นไปไม่ได้ แต่ต่อไป พอเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็จะรู้ได้ว่า ทุกคำที่ตรัสไว้ เป็นสิ่งที่สามารถที่จะรู้จริงๆ ได้ แต่ไม่ใช่ด้วย "ความเป็นเรา" และด้วย "ความไม่รู้" แต่ต้องด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรมะเพิ่มขึ้น
เริ่มต้นก็ยากเสียแล้ว แต่ว่า เริ่มต้นก็ บางคน น่าเบื่อเสียแล้ว ไม่เห็นได้ฟังคำอะไรซึ่งอยากจะฟัง คำต่างๆ ที่ได้ยิน ปฏิจจสมุปปาท อายตนะ อริยสัจจะ ในหนังสือเรียนยังมีเลย อริยสัจสี่ ใช่ไหม? เมื่อไหร่จะได้ยินคำนี้?
แต่ถ้าฟังจริงๆ ธรรมะ สิ่งที่มีจริง "จริง" คือ "สัจจะ" ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นสัจจธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนี้แหละเกิดแล้วดับ ใครรู้? ผู้ที่มีปัญญารู้ จนกระทั่งสามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมะที่ปรากฏเดี๋ยวนี้เลย ว่าแท้ที่จริงไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธรรมะที่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อไหร่รู้อย่างนี้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมอย่างที่มีในหนังสือเรียน แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่าธรรมะคืออะไร? สัจจธรรมคืออะไร? แล้วรู้แจ้งธรรมะเมื่อไหร่ ก็คือว่า ดับกิเลส จากความเป็นผู้ไม่รู้และความติดข้อง และมีกิเลสมากมายมหาศาล ประมาณไม่ได้เลย มาถึงการที่จะสามารถ ค่อยๆ ดับ จนกระทั่งไม่มีกิเลสเหลือเลย ด้วยปัญญา จากการที่ได้ฟัง "คำ" ซึ่งจริงทุกคำ
คุณจริยา ขออนุญาตค่ะ คือ มีผู้ถามว่า ก็เมื่อธรรมะยาก ทำไมไม่สอนให้ง่ายๆ
ท่านอาจารย์ ใครเก่งเหลือเกิน ใครเก่งเหลือเกิน? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แสดงธรรมะ แต่มีคนเก่งกว่า ที่จะให้ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคฯตรัสรู้ เป็นของง่าย ถ้าง่าย ไม่ต้องบำเพ็ญบารมี ไม่ต้องฟัง คิดเองก็ได้ คิดง่ายๆ ทำง่ายๆ แต่จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่รู้จักความจริง!!!
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดจะทำให้ธรรมะง่าย หรือเข้าใจว่าธรรมะง่าย ค้านกับพระพุทธพจน์ไหม? แล้วเขานับถือใคร?
ทุกคนที่นี่นับถือใคร? นับถือคนที่บอกว่าธรรมะง่าย? ซึ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้แต่ละธรรมะ ก็ต้องสะสมความเข้าใจธรรมะ ความเห็นถูก อย่างที่เรากำลังฟังให้เข้าใจ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น นานแสนนาน ประกอบด้วยบารมี ถึงพร้อมด้วยคุณความดี ความดีคือการสละ ไม่มีใครคิด นะคะ แท้ที่จริง ขณะใดที่ดี ขณะนั้น สละความไม่ดี
เพราะฉะนั้น กว่าจะบำเพ็ญบารมีที่จะทำความดี เพื่อสละความไม่ดี จนเหลือน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก
เพราะฉะนั้น ใคร? ที่จะใช้คำว่า บังอาจ ค้านพระพุทธพจน์ แล้วก็ ทำลายพระพุทธพจน์!! เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ซึ่งยากแสนยากที่จะรู้ได้!!! เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนั้น ต้องเก่งกว่า แล้วเขานับถือใคร?
ถ้าเขานับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวคำนี้ได้ไหม? ซึ่งแสดงว่าต้องเก่งกว่าแน่นอน เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงหนทางที่ยาก ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เขาบอกว่าง่าย จะนับถือใคร?
และ ความจริง ง่ายหรือเปล่า? "เห็น" ขณะนี้ เริ่มฟังก็รู้แล้ว มี ต้องเกิด แล้วดับด้วย!! เพราะขณะที่เห็น ต้องไม่มีอย่างอื่น นอกจาก "สิ่งที่ปรากฏ" ขณะที่ได้ยิน ต้องไม่มีอย่างอื่น นอกจาก "เสียง" และ "สภาพที่กำลังได้ยินเสียง ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง แล้วง่ายไหม? ที่จะรู้ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับจริงๆ
เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่มีจริง สิ่งนั้นทนต่อการที่จะพิสูจน์ แต่สิ่งที่ไม่มีจริง ไหนบอกสิ ง่ายอย่างไร? ง่ายอย่างไร? บอกสิ!! อะไรง่าย?
เพราะฉะนั้น ก็เป็นคำพูดลอยๆ เป็นคำพูดที่ไม่มีเหตุผล ไม่ได้ไตร่ตรอง แล้วก็ไม่เคารพในพระรัตนตรัย
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 22
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยวัตถุ ๔ นี้เท่านั้น หรือด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ นอกจากนี้ไม่มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งวาทะเหล่านี้ ที่บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น. อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด และรู้ชัดยิ่งไปกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย และเมื่อไม่ยึดมั่น ตถาคตก็รู้ความดับสนิทของตนเอง รู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง. เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ที่ตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
จบภาณวารที่หนึ่ง
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา และ คุณศิริพล เจียมวิจิตร
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอเชิญคลิกชมครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดได้ที่นี่..
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
ขอเชิญชมคลิปการสนทนาบางตอน ได้ที่ลิงค์นี้ ...
https://www.youtube.com/watch?v=jdSxVv5Kd2I
https://www.youtube.com/watch?v=6FgAIQcIsxQ
อนึ่ง ท่านที่สนใจ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดย้อนหลัง ได้ที่นี่ ...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา และ คุณศิริพล เจียมวิจิตร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กว่าจะเข้าใจว่า ทุกอย่างคือธรรม แม้จะฟังเท่าไรๆ ก็ยังไม่พอ ญาติและเพื่อนบางคนบอกว่ารู้แล้ว ปฏิบัติธรรมบ่อย รู้บาป บุญ คุณ โทษดี แต่นี่แหละคือผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ธรรมไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ
กราบท่านอาจารย์ อนุโมทนาท่านเจ้าของบ้านที่จัดให้ท่าน อาจารย์ได้บรรยายธรรม ทุกปี อนุโมทนาผู้ร่วมฟังและสนทนาด้วย ที่ขาดไม่ได้คือ คุณวันชัย ที่เรียงร้อย ถ้อยคำ พร้อมภาพสวยงามประกอบ ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ