อายุยืนยาว ...
นอกจากการรักษาศีลข้อที่ 1 แล้ว ยังมีเหตุปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตยืนยาวอีกบ้างครับ แล้วที่บอกว่าการที่มนุษย์เราอายุสั้นลง ก็เพราะมนุษย์เราไม่มีคุณธรรม คุณธรรมที่ว่าเนี่ย เป็นเรื่องอะไรบ้างครับ แล้วการปล่อยสัตว์ (ให้ชีวิตเป็นทาน) ... ก็เป็นเหตุให้อายุยืน เช่นกันใช่มั้ยครับ ขอรายละเอียด / ที่มาของการมีอายุยืนจากทุกเหตุปัจจัย ที่เป็นของพุทธแท้ด้วย
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม มีเหตุผล และ ตอบคำถามได้ทุกอย่าง แม้แต่อายุขัยของมนุษย์ ที่เพิ่มขึ้นหรือ ลดลงก็เพราะ มีเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น ซึ่ง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า การที่มนุษย์จะมีอายุยืน หรือ สั้น ก็เพราะ คุณธรรมของสัตว์โลกในสมัยนั้น ในสมัยพุทธกาล อายุขัยของมนุษย์ อายุ 100 ปี แต่ปัจจุบัน ลดลงเหลือ 75 ปี ด้วย เพราะเหตุที่ว่ามนุษย์มีกิเลสเพิ่มมากขึ้นและ เป็นผู้ไม่ประพฤติธรรม ไม่รักษาศีล 5 คุณธรรมเสื่อมลง อายุขัยก็เสื่อมลง ซึ่ง ในยุคนี้ เป็นช่วงที่คุณธรรมของมนุษย์จะเสื่อมลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจสงสัยว่า ในเมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จะเกี่ยวข้องอะไรกับอายุขัยของมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริง ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน หากว่า มนุษย์มากไปด้วย ความเสื่อมในคุณธรรม เทวดา ผู้ดูแลบนสวรรค์ ก็เห็นด้วย และ ยินดี ตามมนุษย์ที่เสื่อมคุณธรรม เทวดาที่รักษาดินฟ้า อากาศ ก็ไม่ทำตามหน้าที่สมควร ดิน ฟ้าอากาศ ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้า ก็ไม่ดี มนุษย์ก็ทานอาหาร ทานข้าว พืชต่างๆ ที่ไม่ดี ทำให้ อายุขัยสั้นลง เพราะ อาหารด้วย และ ก็เป็นโรคง่ายขึ้นด้วย ทำให้อายุขัยก็สั้นลง นี่คือความเกี่ยวเนื่องกัน ของ คุณธรรมของสัตว์โลก เพราฉะนั้น ทุกๆ 100 ปีอายุขัยของมนุษย์ก็ลดลง 1 ปี ในสมัยพุทธกาล อายุขัย 100 ปี มาปัจจุบัน ผ่านไป 2500 ปี ทำให้อายุขัย ลดลง 25 ปี เหลือ 75 ปี ครับ เพราะ ความที่มนุษย์มีคุณธรรมเสื่อมลง และ มีกิเลสมากขึ้น ครับ
[เล่มที่ 15] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 117
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปควรทำกุศลอะไร พวกเราควรงดเว้นจากอทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากมุสาวาท ควรงดเว้นจากปิสุณวาจา ควรงดเว้นจากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฏฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คือ อธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้น จักปฏิบัติชอบในมารดาปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้ว ประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้างเจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี. ... บุตรของคนผู้มีอายุสองหมื่นปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึงสี่หมื่นปี บุตรของคนผู้มีอายุสี่หมื่นปีจักมีอายุขึ้นถึงแปดหมื่นปี
การที่จะเป็นคนอายุยืน หรือ อายสั้น ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างอวัยวะส่วนต่างๆ แต่ขึ้นอยู่กับกรรม เป็นสำคัญ การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม แต่มีเหตุที่ทำให้บางคนอายุยืน บางคนอายุสั้น ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่มีอายุสั้น เพราะอกุศลกรรมที่เป็นปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้กระทำแล้วในอดีตเข้าไปเบียดเบียนตัดรอน จึงทำให้มีอายุสั้นหรือที่รู้กันว่าตายก่อนวัยอันควร ในทางตรงกันข้ามผู้ที่เกิดมาแล้ว มีอายุยืน ก็ย่อมเป็นผลของกุศลกรรมที่เป็นการงดเว้นจากปาณาติบาต และยังมีพระสูตรที่แสดงว่า อายุยืน ด้วยเหตุ ๕ ประการดังนี้ ครับ
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ หน้าที่ 267
๖. ทุติยอนายุสสสูตร
ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุให้อายุสั้น และอายุยืน
[๑๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้น ๕ ประการเป็นไฉน คือ
บุคคลย่อมไม่กระทำความสบายแก่ตนเอง ๑
ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย ๑
บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก ๑
เป็นคนทุศีล ๑
มีมิตรเลวทราม ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นเหตุให้อายุสั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรม ๕ ประการนี้ เป็นเหตุให้อายุยืน ๕ ประการเป็นไฉน คือ
บุคคลย่อมเป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง ๑
รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย ๑
บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย ๑
เป็นผู้มีศีล ๑
มีมิตรดีงาม ๑
สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ ประโยชน์จริงๆ ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วควรที่จะเป็นอย่างไร เพราะทุกคนเกิดมาแล้วก็จะต้องตายอย่างแน่นอน เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด เพราะฉะนั้นแล้ว เกิดมาเพียงชั่วคราว ประโยชน์จึงอยู่ที่การสะสมความดีและศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถ้าคิดว่าชีวิตเกิดมาเพียงชั่วคราวจริงๆ จะทำดีหรือทำชั่ว ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
สัพพลหุสสูตร .. เสาร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงนั้นแสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง ผู้ฟังผู้ศึกษาก็สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตามกำลังของตน สำหรับในเรื่องการให้ผลของกรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ในเบื้องต้น เหตุ ย่อมสมควรแก่ผล เมื่อเหตุเป็นเหตุที่ดี ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นผลที่ดีที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นเหตุไม่ดี แล้ว ก็ย่อมจะให้ผลเป็นผลที่ไม่ดีไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ
แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ สิ่งที่ควรจะพิจารณาสำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้แสนยาก เพราะจะต้องได้ด้วยผลของกุศล ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นผลของกุศลประเภทใด ขึ้นอยู่กับว่ากุศลประเภทใดจะให้ผล [ซึ่งต้องไม่ใช่ผลของฌานขั้นต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะผลของฌานขั้นต่างๆ ทำให้เกิดในพรหมโลก ตามระดับขั้นของฌาน] ถ้าเทียบกันระหว่างสุคติภูมิ กับ อบายภูมิแล้ว การไปเกิดในอบายภูมิ ไปได้ง่ายกว่าสุคติภูมิจริงๆ ซึ่งพระองค์ทรงแสดงเปรียบเทียบไว้ด้วยข้ออุปมาฝุ่นที่ปลายพระนขา (เล็บ) ที่พระองค์ทรงช้อนขึ้นมา กับ ผืนแผ่นดิน ว่า ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อยเหมือนกับฝุ่นที่อยู่ปลายพระนขาของพระองค์ ส่วน ผู้ที่ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีมาก เหมือนกับผืนแผ่นดิน ซึ่งควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นผู้ไม่รู้ต่อไป ไม่คุ้มค่าเลยกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ยากแสนยากแต่ไม่ได้สะสมปัญญา ก็จะทำให้ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ และจะไม่รู้อีกต่อไปนานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะพ้นไปได้
การที่จะมีอายุยืนยาวหรือสั้น ไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ที่ควรเป็นเครื่องเตือนที่ดี คือ ได้ทำชีวิตที่เหลืออยู่นี้ให้เป็นชีวิตที่คุ้มค่าแล้วหรือยัง การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ได้สะสมความดี และ สะสมปัญญา ย่อมเป็นชีวิตที่คุ้มค่า คุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีอวัยวะครบถ้วน [พร้อมที่จะรองรับพระธรรม] และได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมซึ่งหาฟังได้ยากเป็นอย่างยิ่งจากบุคคลผู้มีปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต่อไป เวลาของแต่ละบุคคล เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ถ้าไม่เริ่มฟัง ไม่เริ่มศึกษาตั้งแต่ในขณะนี้ การที่จะฟัง การที่จะศึกษาในขณะต่อๆ ไป ก็จะมีไม่ได้ เริ่มต้นตั้งแต่ในขณะนี้ เป็นการดีอย่างยิ่ง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...