ถ้าขาวหมด ถ้าเขียวหมด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่อง สีขาวหมด สีเขียวหมด มีกล่าวไว้ใน พระไตรปิฎก ที่มี พราหมณ์ผู้หนึ่ง ประดับทุกสิ่ง เครื่องตกแต่ง ร่าย รถ และ ทุกอย่างเป็น สีขาว วนรอบเมือง โดยเข้าใจว่าสีขาวทั้งหมดเป็นมงคล นำมาซึ่งสิ่งที่ดี และสีเขียวหมด ก็มีในส่วนของเจ้าลิจฉวีที่แต่งกายเป็นสีเขียวหมด ซึ่งโดยมากสัตว์โลกก็ยึดถือใน สี ที่ถือว่าเป็นมงคล ซึ่งท่านอาจารย์สุจินต์ก็นำพระสูตร ที่ เรื่องสีขาวหมด มาอธิบายให้เข้าใจกัน
ซึ่ง สีขาว ไม่ใช่ทำให้สัตว์บริสุทธิ์เกิดสิ่งที่ดี แต่ คุณความดี โดยเฉพาะ กุศล ที่ประกอบด้วย ปัญญา ที่เป็นการเจริญอริยมรรค เป็นสิ่งที่จะทำให้สัตว์บริสุทธิ์จากกิเลส ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
นี้คือ ความต่างกัน ซึ่งเกิดจากเพียงการ เห็น ก็ทำให้เกิดความเห็นผิด ความเข้าใจหนทางปฏิบัติผิด เพราะคิดว่าสีขาวจะเป็นมงคล ทำให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์หรือหมดกิเลสได้ แต่ความจริงนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ที่จริงยานนั้นเป็นของลามก เลว เพราะว่าทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยานประเสริฐ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องสีของเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับตกแต่ง แต่ว่า เมื่อใดที่สติปัญญา เกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงชื่อว่ายานนั้นมีในผู้นั้นที่จะนำไปสู่การ ดับกิเลสได้
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
สีขาวของเครื่องนุ่งห่มจะนำไปสู่การดับกิเลสได้ไหม
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่น่าพิจารณาคือ ธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจาก จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) แต่ละบุคคลที่เกิดมามีชีวิตดำเนินไปในแต่ละวันนั้นก็เป็นธรรมทุกขณะ เพราะมี ธรรม เหล่านี้คือ มี จิต มี เจตสิก และมี รูป จึงสมมติเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ
แต่ละ บุคคล ที่เกิดมานั้น จะ บริสุทธิ์ หรือ ไม่บริสุทธิ์ คือ จะเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่อยู่ที่ จิต เพราะเหตุว่าเมื่อ จิตดี คือ เป็นกุศลจิต ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์ (แต่เป็นการบริสุทธิ์ชั่วขณะที่จิตเป็นกุศล เพราะว่า ผู้ที่จะมีจิตบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นเลยนั้นต้องเป็น พระอรหันต์ ) แต่เมื่อ จิตไม่ดี คือ เป็น อกุศลจิต ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเช่นเดียวกัน ก็ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์ จะถือเอาเครื่องแต่งกายเป็นประมาณไม่ได้เลย
ดังนั้น จิต จึงมีความสำคัญมาก ขึ้นอยู่กับว่า จะเป็น จิตที่ดี หรือ ไม่ดี เท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามการ สะสม มาของแต่ละบุคคลจริงๆ ไม่เหมือนกันเลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการที่ บุคคลทำกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กุศล หรือ อกุศล ก็สำเร็จแล้วด้วย จิต ทั้งนั้น กล่าวคือ เมื่อ จิตดี (เป็นกุศล) ก็สำเร็จ เป็นกรรมดี ทำในสิ่งที่ดีงามและเมื่อกรรมดีให้ผล ก็ให้ผลที่ดี น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตไม่ดี (เป็นอกุศล) ก็สำเร็จเป็น กรรมไม่ดี และ ให้ผลเป็นทุกข์ นำมาซึ่งความเดือดร้อนนานาประการ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคำสอนก็ตามก็ เป็นเครื่องเตือนที่ดี อยู่เสมอ เตือน ให้เป็นผู้ไม่ประมาท ในชีวิต และเป็นประโยชน์ทุกกาลสมัยด้วย แต่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่านั้น
บุคคลผู้เห็นประโยชน์ของ กุศลธรรม และเห็นโทษของ อกุศลธรรม โดยอาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ จิตใจย่อมน้อมไปในทางกุศล ขัดเกลา กิเลสในชีวิตประจำวันเพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ ซึ่งบุคคลที่ ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย นับวันมีแต่ จะพอกพูนกิเลสอกุศล ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ