ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๖]
* ถ้าจะมีอะไรที่ดี ก็เป็นเพราะกุศลกรรม ถ้าจะต้องสูญเสียอะไรไป ก็เพราะอกุศลกรรมที่ทำแล้ว
* ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไรจะรู้อย่างนี้ ก็ต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่อาศัย ที่ทำให้สามารถรู้ความจริงว่า ขณะนี้เป็นธรรม
* พึ่งอกุศลไม่ได้ ใครคิดพึ่งโลภะ พึ่งได้ไหม ไม่มีทางเลย อกุศลมีแต่จะนำไปสู่อบายภูมิ ไม่ได้ทำให้พ้นจากอบายภูมิ ไม่ได้เป็นที่พึ่งอันแท้จริง เพราะเหตุว่าถ้าเหตุที่ไม่ดี จะให้ผลที่ดีไม่ได้เลย
* ธัมมสัปปายะ (ธรรมเป็นที่สบาย) ไม่ทำให้เดือดร้อนเลย ฟังแล้วก็มีความสุขชื่นชมในคำจริง ในความจริงที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ธรรมนั่นแหละเป็นสัปปายะ ที่ทำให้พ้นจากอกุศล พ้นจากความเดือดร้อน และทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น
* ถ้าเป็นกิเลสที่มีกำลัง ความไม่ดีที่มีกำลังมาก กายก็ผิดปกติ มีการเบียดเบียน มีการประทุษร้ายขณะใด จิตขณะนั้นเป็นอะไร รู้ได้ทันที แม้การเบียดเบียนด้วยกาย หรือการเบียดเบียนด้วยวาจาก็เกิดจากจิต ถ้ามีอกุศล ก็เป็นอกุศลศีล ปกติธรรมดาเพราะจิตขณะนั้นเป็นอกุศล จะให้กายวาจาเป็นกุศล ไม่ได้
* ดีคือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หลักใหญ่ๆ เพราะเหตุว่าถ้ามีโลภ โกรธ หลง ความไม่ดีอย่างอื่นๆ ก็ติดตามมา เพราะฉะนั้น ไม่ดีที่หนึ่งเลย ก็คือความไม่รู้
* การเป็นคนดี ก็ไม่พอ และรู้ความจริงว่า ไม่สามารถจะดีตลอด หรือ ดีโดยที่ไม่มีความไม่ดีเกิดขึ้นบ้างเลยก็ไม่ได้ จนกว่าจะได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งมีอยู่หนทางเดียวคือต้องศึกษาจึงสามารถเข้าใจได้
* ถ้าคนไม่มีปัญญา ไปขอให้คนอื่นปลดเปลื้องความทุกข์ เขาบอก มาๆ ฉันจะปลดเปลื้องให้ คนไม่มีปัญญาก็ดีใจ คิดว่าจะมีคนปลดเปลื้องให้ แต่ว่าถ้าคนมีปัญญารู้เลยว่า ไม่ถูก ใครจะมาปลดเปลื้องความทุกข์หรือความสงสัยหรือความไม่รู้ของใครได้ นอกจากให้คนนั้นเกิดความเข้าใจถูก ความเห็นถูกจึงจะหมดความสงสัยได้
* พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ก็เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น การบูชาที่เลิศที่สุด คือ ระลึกรู้สภาพของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นธรรมบูชา
* ที่จะปฏิบัติธรรมที่จะขัดเกลากิเลส ต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ สิ่งใดถูก ก็ต้องเห็นถูก สิ่งใดผิด ก็ต้องเห็นว่าผิด ไม่ใช่เห็นแก่บุคคล ไม่เห็นแก่หมู่คณะซึ่งจะทำให้การประพฤติปฏิบัติคลาดเคลื่อนไป และไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้
* กุศลธรรมทั้งหลายก็จะนำมาซึ่งกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป และอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ก็ย่อมจะนำมาซึ่งอกุศลธรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ ต่อๆ ไปด้วย
* เรื่องความเคารพก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความกลมเกลียวเพราะเหตุว่าถ้ามิฉะนั้นแล้ว กิเลสที่มีกำลังแรง ย่อมจะทำให้กระทำกาย วาจาที่ไม่สมควร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในหมู่คฤหัสถ์ หรือว่าในหมู่ของบรรพชิต ก็จะต้องมีระเบียบวินัย ในเรื่องของการแสดงความอ่อนน้อม หรือความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพด้วย
* ตัวท่านไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เพราะฉะนั้น ก็ต้องอยู่กับบุคคลทั้งหลายซึ่งมีการสะสมมาต่างๆ กัน และเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็จะต้องเป็นเรื่องอย่างนี้บ้าง เรื่องอย่างนั้นบ้าง เป็นเรื่องของความอาฆาตพยาบาท เป็นเรื่องของอกุศลกรรมต่างๆ แต่ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นว่า เป็นธรรมดาของอกุศลธรรม ถ้าสะสมอกุศลธรรมมากๆ และไม่ได้ขัดเกลา ผลที่ปรากฏก็คือว่า ย่อมเป็นการกระทำให้ปรากฏทางกาย ทางวาจา ที่เป็นอกุศล
* ในขณะที่ไม่ทำดี เคยเป็นคนที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่ไม่ทำดีอะไรเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าไม่เป็นไร ไว้ทำความดีใหญ่ๆ ก็แล้วกัน แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าเป็นผู้เข้าใจจริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศลแล้ว และอกุศลทุกประเภทก็มีความไม่รู้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
* เมื่อมีอวิชชาก็มีโลภะ โทสะ ทั้งวันก็ลองพิจารณาเข้าใจให้ถูกตามความเป็นจริงว่า อกุศลเพิ่มขึ้นเท่าไร อวิชชาเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร
* กุศลเกิด อวิชชาก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง พร้อมทั้งกิเลสอื่นๆ ด้วย กุศลทั้งหลายก็จะค่อยๆ ชำระจิต พระธรรมมีประโยชน์มากมายมหาศาล ตั้งแต่เริ่มเข้าใจ
* จนกระทั่งถึงรู้แจ้งสภาพธรรมะตามความเป็นจริง
* โกรธ ดีไหม? ไม่ดี แต่ยังไม่รู้ว่า ความโกรธ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
* โกรธ ไม่ดีเลยทั้งแก่ตนและแก่คนอื่น
* ถ้าไม่รู้ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนไม่ดี
* ถ้ามีอกุศลมากๆ ทั้งวัน แล้วจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้อย่างไร
* แม้เริ่มต้น ก็ยังไม่ถูก แล้วจะพาไปไหน ก็พาไปในทางที่ผิด เป็นการหันหลังให้กับพระธรรม
* สภาพธรรมที่เป็นอกุศล เต็มทั้งวัน แล้วจะบอกว่าเป็นคนดี ได้อย่างไร
* ธรรม มีจริงๆ ในขณะนี้ แล้วเคยคิดไหมว่า น่าอัศจรรย์ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
* โลภะ มีมากในชีวิตประจำวัน เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ความขุ่นเคืองใจก็ตามมา
* พ่อแม่ เสื้อผ้า ทรัพย์สมบัติของชาติก่อน ตามมาในชาตินี้หรือเปล่า? ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าสูงสุดในชาตินี้ที่ได้เกิดมาแล้วจะต้องตาย คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๕
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- ในชีวิตประจำวันที่เห็น ได้ยิน ... และคิดนึก ก็ติดข้องทุกทีเห็นทีไรก็เกิดเยื่อใย ทั้งๆ ที่ดับไปแล้ว สิ่งที่ดับไปแล้วแท้จริงไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรมะ แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ มีเยื่อใยอยู่ เยื่อใยในกาย เยื่อใยในนามธรรมทั้งหมดในกาย เยื่อใยในจิตทุกๆ ขณะที่ที่เกิดขึ้น จิตเป็นธรรมะที่เกิดพร้อมเจตสิกแต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เยื่อใยก็ คือจิตที่เป็นเรา จิตปรากฏจิตนั้นก็เป็นเรา เจตสิกปรากฏความขุ่นเคือง สุขใจก็เป็น เรา จนกว่าจะเห็นความเกิดดับของจิตจึงจะหมดเยื่อใย ความเยื่อใยจะดับไปต้องตาม ลำดับของปัญญา เยื่อใยขั้นแรกที่จะดับคือ เยื่อใยด้วยความเห็นผิดในสภาพธรรมว่า เป็นเรา จนกว่าจะหมดเยื่อใยในสภาพธรรมแต่ละอย่างว่าเป็นธรรมะ แต่ละอย่างที่เกิด ดับไม่ใช่เรา
- การฟังพระธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังบ่อยๆ เนืองๆ สังขารขันธ์ปรุงแต่ง น้อมไปเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวตนที่น้อมไป ขณะนี้น้อมไปคือภาวนา การอบรมความเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ แม้แต่การน้อมไปใน ภาวนา ก็ไม่มีตัวตนที่จะน้อมแต่เป็นการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นไป น้อมไปในกุศลธรรมทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อยังกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อมได้ในชีวิตประจำวันทั้งทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญา
- ผู้ที่นั่งฟังธรรม พิจารณา ไตร่ตรองเข้าใจในธรรมที่ได้ฟัง ขณะนั้นจิตสงบ สงบจากความไม่รู้ สงบจากความเห็นผิด กุศลทุกอย่างสงบ เพราะฉะนั้น ขณะที่จิตสงบ จริงๆ ก็คือ ขณะที่สงบจากกิเลส สงบจากอกุศลทั้งหลาย ผู้ที่ไปนั่งกลางท้องนา ในห้อง ในถ้ำ ขณะนั้นจิตสงบไหม? ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม มีแต่อวิชชาความไม่รู้ ขณะนั้นจะสงบจากอกุศลได้อย่างไร?
- อกุศลทั้งหลาย ชื่อว่า คนพาล การคบหาคนพาลมีแต่จะพาไปสู่ความเสื่อมอย่างเช่นพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งได้คบหากับคนพาลอย่างท่านพระเทวทัตจึงพาไปสู่อกุศลกรรมทั้งปวง ตายจากภพชาตินั้นแล้วก็ไปสู่นรก การคบคนพาลนำมาแต่ความทุกข์ ทั้งๆ ที่ท่านได้สะสมที่จะได้ถึงความเป็นพระโสดาบัน หากท่านได้คบบัณฑิตได้โอกาสฟังพระสัทธรรม สำหรับกุศลทั้งหลาย ชื่อว่า บัณฑิต การได้เข้าใกล้บัณฑิตหรือสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมเข้าใจ พิจารณาธรรมโดยแยบคาย ย่อมนำไปสู่การเจริญขึ้นของธรรม นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นำมาแต่ความสุข
- เทียบกันไม่ได้เลยระหว่างรสอาหารกับรสพระธรรม โดยเฉพาะรสของอมตธรรม คือธรรมที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) บุคคลผู้ที่เห็นรสพระธรรมว่าเลิศกว่ารสทั้งปวง นั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังธรรมแล้วก็พิจารณา เข้าใจซาบซึ้ง ประพฤติปฏิบัติตาม และรู้ตามว่า สภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นความจริงอย่างนั้นๆ
- หันหลังให้ความถูกต้อง เพราะ ยึดมั่นในความไม่ถูกต้อง
- ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย ก็ปรึกษาสนทนาว่าเป็นอย่างไร
- ถ้าไม่มีการสนทนากันเลย ก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน แต่ ถ้ามีการสนทนากันก็จะทำให้เข้าใจถูก
- มีใครไม่ต้องการความจริงบ้าง
- สุจริต ทุจริตอยู่ที่ไหน ก็ต้องอยู่ที่ใจ และ ใจที่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ มาก และ กระทำทุจริต ให้ทั้งตนเองและคนอื่นเดือดร้อนดีไหม และ ถึงขนาดที่กิเลสมีกำลัง แม้จะไม่สนใจธรรม ก็เพราะ กิเลส ที่สะสมมามาก
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา
ในกุศลจิตของอ.คำปั่น อ.เผดิมและทุกๆ ท่านครับ
"...ถ้าไม่รู้ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใครเป็นคนดี ใครเป็นคนไม่ดี..."
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ