ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๘

 
khampan.a
วันที่  2 ก.พ. 2557
หมายเลข  24403
อ่าน  1,661

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๘]

* ถ้าพูดถึงทิฏฐิเฉยๆ อาจจะเป็นอกุศลก็ได้ หรืออาจจะเป็นกุศลก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงเรื่องของอกุศลธรรมและใช้คำว่า "ทิฏฐิ" ย่อมหมายความถึงมิจฉาทิฏฐิ แต่เวลาที่กล่าวถึงกุศลธรรม แล้วใช้คำว่า "ทิฏฐิ" ย่อมหมายความถึงสัมมาทิฏฐิ หรือ ปัญญา

* เพียงสนใจและขวนขวายในการถือมงคลตื่นข่าวแม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังทำให้ ไกลจากการยึดมั่นในกรรมของตน เพียงแต่สนใจขวนขวายนิดหน่อย ก็จะเป็น ทางให้เกิดเกิดการสนใจ หรือเกิดการเห็นผิด ขาดการพิจารณาในเหตุผล ในที่ สุดก็จะทำให้ค่อยๆ เคลื่อนจากการเป็นผู้ตรงต่อธรรม และเมื่อเคลื่อนจากการ เป็นผู้ตรงต่อธรรม ก็จะห่างไกลจากธรรมไปทุกที

* การที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ ก็จะต้องพิจารณาให้รู้ว่า ธรรมใดเป็น คำสอนที่แท้จริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่พิจารณาจริงๆ ก็จะไม่พ้นไปจากความเห็นผิด หรือมงคลตื่นข่าว ซึ่งถ้ามีความสนใจนิดหนึ่ง ก็จะพาไปสู่ความสนใจและความขวนขวายยิ่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุด ก็จะไม่แสวงหาพระธรรมที่แท้จริง และจะไม่พิจารณาเหตุผลโดยละเอียด การที่ปัญญาจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นเรา ก็ต่อเมื่อรู้ในลักษณะสภาพรู้หรือธาตุรู้ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ ระลึกได้บ่อยขึ้น จนกว่าวันหนึ่งก็จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพรู้ จริงๆ

* ธรรมใดๆ ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้เด็ดขาด) นอกจากปัญญาที่ได้อบรมและเพิ่มความรู้ของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจโดยละเอียดขึ้น

* ในความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน มีคนโน้นบ้าง คนนี้บ้างมากมายเหลือเกิน มิตรสหายเพื่อนฝูง วงศาคณาญาติ แต่สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปัญญา จะต้องรู้ คือ หามีไม่สักคนเดียว คนอื่นก็ไม่มี แม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่มี เพราะเหตุ ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมของจิตที่คิดเท่านั้นเอง

* เรื่องของการที่จะอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องที่จะต้องอาจหาญร่าเริง ต้องเป็นบุคคลที่กล้าที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง โดยมากท่านไม่ชอบโทสะ เห็นโทษ เห็นภัย เห็นอันตรายของโทสะ จิตใจ ในขณะนั้นไม่แช่มชื่น เร่าร้อนด้วยความไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ปรารถนา ที่จะมีโทสะเลย แต่ลืมโทษภัยของโลภะ มีมากและเป็นปกติ แล้วเวลาที่โลภะเกิด ไม่เห็นเดือดร้อน เพราะไม่เห็น จึงยังคงพอใจและเพิ่มกำลังของโลภะให้มากขึ้น ยังมีความยินดีพอใจอยู่ทั้งทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

* แต่โมหะใครเห็นโทษบ้าง ร้ายยิ่งกว่าใคร แล้วก็ละเอียดมาก เพราะเหตุว่า ตราบใดที่ปัญญาไม่เกิดขึ้น รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง ตราบนั้นไม่ สามารถจะละอกุศลธรรมใดๆ ได้เลย

* ในการที่จะดับกิเลสต้องอบรมสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา อวิชชาเป็น สภาพธรรมที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น อะไรจะละอกุศลได้ ในเมื่อยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจทุกๆ ขณะ

* สำหรับความเห็นผิดเป็นเรื่องที่เกิดไม่ยากเลย เพราะเหตุว่าถ้าปัญญายัง ไม่เกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ความไม่รู้ลักษณะของ สภาพธรรมย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความเห็นผิดได้ ตั้งแต่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล จนกระทั่งถึงการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ที่แสดงถึง ความเห็นผิดซึ่งมีอยู่ในใจด้วย

* เจ้าที่ พระภูมิ ท่านเหล่านี้มีจริงหรือ ช่วยได้จริงหรือ? ถ้าเป็นจริง ทำไมชาติเราไม่เจริญเท่านานาประเทศ ซึ่งไม่ได้ดูหมอ ไม่ได้เข้าทรง แต่เขาเจริญรุ่งเรืองมาก

* ผู้ที่เข้าใจพระธรรม ที่จะไม่เห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย ย่อมไม่มี

* ที่ว่า รู้ชัด หมายความว่า เมื่อระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมใด ขณะนั้นไม่มี ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมอื่น ขณะที่กำลังระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมใด ตรงที่นั้น ไม่ผูกโยงเยื่อใยที่จะให้มีลักษณะของนามอื่นรูปอื่น ปนอยู่ รวมอยู่ใน ขณะนั้น ปัญญาจึงสามารถรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งโน้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงข้อประพฤติปฏิบัติ แล้วสาวกก็ ประพฤติปฏิบัติตามจนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมนั้นๆ จะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะมี ความกรุณายิ่งกว่าพระผู้มีพระภาค และจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดจะมีปัญญายิ่งกว่า พระผู้มีพระภาค เพราะฉะนั้น ถ้าข้อประพฤติปฏิบัติอื่นที่ง่าย วิธีสะดวก วิธีลัดมีจริงๆ ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคก็จะต้องทรงแสดงวิธีที่จะไม่ให้พุทธบริษัทต้องลำบากที่จะปฏิบัติ

* ผู้ที่ถูกความโลภครอบงำ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภย่อม ชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้

* ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีเพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป จึงไม่มีเรา หรือไม่มี สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน

* ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่ใครสักคนเดียว แต่มีจริงๆ เกิดแล้วดับไป มีความ เสมอกัน โดยความเกิดแล้วดับไป แต่ธรรมไม่ได้มีอย่างเดียว มีหลากหลายมาก อกุศล ไม่ได้ปนกันกับกุศล เป็นสภาพธรรมคนละอย่างกัน

* ฝันไม่ดี พอตื่นมาก็โล่งใจที่เป็นเพียงแค่ฝัน แต่ถ้าเป็นฝันดี พอตื่นขึ้นก็เสียดาย นี้คือความเป็นธรรมดา จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

* ต้องไม่ลืมว่า ฟังพระธรรมแต่ละคำ เพื่อจะได้เข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะธรรม มีปรากฏอยู่ตลอด แต่อวิชชาก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ฟังและรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้

* นั่งนิ่ง แต่ใจนิ่งไหม? ส่วนใหญ่ชอบพูดกันว่า ใจนิ่ง อยากให้ใจนิ่ง ไม่รู้ว่าอยากอะไร ไม่รู้ว่าใจคืออะไร คำตอบ คือ ไม่รู้ จึงอยากในสิ่งที่ไม่รู้

* จิต เกิดแล้วดับ และจิตที่เกิดแต่ละขณะ ก็ทำกิจหน้าที่ด้วย

* สภาพธรรมเกิดแล้วดับ สืบต่อ ยังสืบต่ออยู่ ตราบใดก็ยังคงเป็นวัฏฏะอยู่ ตราบนั้น และวนเวียนไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ จะไม่พ้นไปจาก ๖ ทางนี้เลย

* ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีเหลือ เกิดปรากฏแล้วดับ เหมือนไม่เคยมี เพราะว่าหายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย แต่อันตรายมาก มีโทษมาก เมื่อเกิดปรากฏแล้ว เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจ ติดข้อง เพราะไม่รู้

* มีความสุขที่ได้ฟังพระธรรม ฟังแล้วมีความเข้าใจถูกเห็นถูก นี้แหละคือ ความหมายของ "เบิกบาน"

(ประทับใจมากๆ กับข้อความต่อไปนี้)

* ฟังพระธรรม แต่ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง ก็ใช้คำว่า ฟังไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน สะสมไว้ในใจ เหมือนเราที่จะซื้อสิ่งที่แสนประเสริฐ หายาก แล้วไม่มีทุนทรัพย์ แม้สักนิดเดียว จะไปได้สิ่งนั้นก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ปัญญา ที่สามารถจะรู้แจ้งความจริง มากมายมหาศาลในความประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แล้วถ้าเรามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ที่เหมือนกับการฟังไว้ก่อน เก็บไว้จนมากๆ ถึงเวลาก็สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะไปมุ่งหวังที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในทันที เป็นไปไม่ได้ ... เพราะฉะนั้น ฟังไว้ เพื่อเข้าใจไว้ เพื่อเก็บไว้ จนกว่าจิตจะน้อมไปสู่ทุกคำที่ได้ฟัง กว่าจะถึงเวลาทุกคำที่ได้ฟัง ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก เป็นผู้ที่ตรง ก็จะไม่เชื่อคำของคนอื่น ที่ไม่เป็นคำจริง ไม่ใช่คำที่มาจากการรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๗

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่า เป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วย อวิชชาที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตาม ความจริง น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม

@ แม้แต่จะฟังธรรม ถึงบอกแล้วว่าจะฟัง ก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้ ฉะนั้นศรัทธา สภาพผ่องใสที่จะเห็นประโยชน์ของการพ้นจากอกุศล ด้วยการฟังสิ่งที่มีสาระ ประโยชน์ยิ่งกว่าทรัพย์อื่นใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่ฟัง ก็คือหมดโอกาสเข้าใจถูกว่าเห็น ได้ยิน ก็ดี ไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง เพียงปรากฏแล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย แต่ประโยชน์ที่แท้จริง คือ เห็นถูก เข้าใจถูก ศรัทธาฟังธรรม เพื่อกุศลธรรมเจริญขึ้นประเสริฐยิ่งขึ้นตามลำดับ

@ มีประโยชน์อะไร จากหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏแล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และ เมื่อปรากฏก็เดือดร้อน ในสิ่งที่น้อยที่สุด ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มี ที่ปรากฏ เกิดขึ้นแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ที่ยังเดือดร้อนอยู่ในสิ่งที่มีแล้วหามีไม่ก็เพราะยังมี อวิชชา ที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

@กำลังฟังขณะนี้เข้าใจแค่ไหน เช่น ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้ว เมื่อถามก็ตอบได้ ว่าขณะนี้ก็เป็นธรรม และถ้าฟังต่อไปอีกก็ตอบได้ยิ่งขึ้น แสดงว่าความเข้าใจที่มีอยู่ ยังไม่เพียงพอ และยังมีสิ่งใหม่ๆ ให้เข้าใจขึ้นอีก ความเข้าใจของคนที่เริ่มต้นฟัง ก็ต่างจากคนที่ฟังนานแล้ว เพราะฉะนั้น รู้ว่าทุกอย่าง เป็นธรรม กระทั่งฟังเข้าใจยิ่งขึ้นว่า คำนี้เป็นคำจริงแน่นอนไม่ผิดเลย คือ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด

@ สิ่งที่มีสาระแท้จริงไม่ใช่เรื่องราวของธรรม แต่คือความจริงในชีวิตประจำวัน ที่ ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละทาง มีธรรมอยู่แล้ว ทั้งรูปธรรมนามธรรม ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า ธรรมคือ อะไร เกิดที่ใด เกิดเมื่อไร จึงเป็นเหตุให้ปัญญาเกิดได้

@ เพียงคิด พูดออกมายังยาก พูดแล้วบางครั้งยังเปลี่ยนใจบ้าง ลืมบ้างแล้วก็ไม่ได้ให้ แล้วเมื่อให้แล้วก็ยังเสียดายในสิ่งที่ให้ ที่จะไม่เสียดายเลยก็ยิ่งยาก ที่ยากทั้งหมดก็ เพราะกิเลสมาก เพราะสะสมมาที่ไม่รู้ประโยชน์ของกุศล ด้วยอกุศลคือความเป็นเรา

@ เป็นผู้ตรงว่าฟังธรรมวันนี้ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เพิ่มจากวันก่อนน้อยมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องทันที แต่ที่จะฟังเข้าใจสละ (ความไม่รู้ ความติดข้อง) ได้โดยตลอด ก็ ต้องตามกำลังของความเข้าใจถูก เป็นผู้มีศรัทธาฟังธรรม เข้าใจธรรมซึ่งค่อยๆ เพิ่ม ขึ้น และเป็นผู้ไม่ประมาท

@ สาระ คือ สิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในบรรดาสิ่งที่เกิดดับทุกขณะมีทั้งที่เป็นประโยชน์ ประเสริฐ และสิ่งที่ตรงข้าม ได้แก่ ปัญญาและ อวิชชา สิ่งที่ประเสริฐ คือ มรรคมีองค์ ๘ เพราะเป็นหนทางดับกิเลสได้แม้ว่าเกิดดับ และสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์ก็มี เช่น ความติดข้องพอใจ ไม่รู้

@ เพราะไม่รู้จึงฟัง เพราะไม่รู้จึงอ่าน ไม่ใช่โดยคิดเดาเอาเอง แต่อ่านเพื่อเข้าใจ ถูกต้อง ทุกครั้งที่ฟังธรรมหรืออ่านเพื่อให้รู้ยิ่งขึ้น เข้าใจถูกยิ่งขึ้น เพื่อละความไม่รู้ จึงจะละอกุศลอื่นได้

@ เวลานี้ใครชื่ออะไรพบกันหลายครั้ง ไปมาหาสู่กัน เที่ยวด้วยกัน รู้จักกันไม่นานพอหมดก็ไม่รู้จักกันอีกเลย เหมือนบุคคลชาติก่อนๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรงถูกต้อง คือ ปัญญา ซึ่งต้องอาศัยศรัทธา ฟังจนเห็นถูกต้อง คลายความไม่รู้ ติดข้องทรัพย์ รู้ว่า ทั้งหมดก็ตามมีตามได้ ตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เซจาน้อย
วันที่ 2 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 3 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...เรื่องของการที่จะอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องที่จะต้องอาจหาญร่าเริง ต้องเป็นบุคคลที่กล้าที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง..."


กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย, คุณเผดิม ยี่สมบุญ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 3 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chomchean
วันที่ 3 ก.พ. 2557

ฟังพระธรรม แต่ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง ก็ใช้คำว่า ฟังไว้ก่อน เก็บไว้ก่อน สะสมไว้ในใจ เหมือนเราที่จะซื้อสิ่งที่แสนประเสริฐ หายาก แล้วไม่มีทุนทรัพย์ แม้สักนิดเดียว จะไปได้สิ่งนั้นก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ปัญญา ที่สามารถจะรู้แจ้งความจริง มากมายมหาศาลในความประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด แล้วถ้าเรามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ที่เหมือนกับการฟังไว้ก่อน เก็บไว้จนมากๆ ถึงเวลาก็สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะไปมุ่งหวังที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในทันที เป็นไปไม่ได้ ... เพราะฉะนั้น ฟังไว้ เพื่อเข้าใจไว้ เพื่อเก็บไว้ จนกว่าจิตจะน้อมไปสู่ทุกคำที่ได้ฟัง กว่าจะถึงเวลาทุกคำที่ได้ฟัง ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก เป็นผู้ที่ตรง ก็จะไม่เชื่อคำของคนอื่น ที่ไม่เป็นคำจริง ไม่ใช่คำที่มาจากการรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 3 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 3 ก.พ. 2557
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 4 ก.พ. 2557

... เพราะฉะนั้น ฟังไว้ เพื่อเข้าใจไว้ เพื่อเก็บไว้ จนกว่าจิตจะน้อมไปสู่ทุกคำที่ได้ฟัง กว่าจะถึงเวลาทุกคำที่ได้ฟัง ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก เป็นผู้ที่ตรง ก็จะไม่เชื่อคำของคนอื่น ที่ไม่เป็นคำจริง ไม่ใช่คำที่มาจากการรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ.

@ การฟังธรรมทั้งหมดก็เพื่อความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเราพยายาม นั้นคือ ลืมว่า เป็นธรรม ที่ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นโมฆะทั้งหมด เพราะถูกลบล้างด้วย อวิชชาที่ถือมั่นโดยความเป็นเรา แต่ที่ถูกคือ เข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งคล้อยตาม ความจริง น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกอย่างที่ปรากฏ แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ